ข้อมูลจาก
http://blogazine.in.th/blogs/thanorm/post/3191เรื่องเล่าเล็กๆ จากกระท่อมทุ่งเสี้ยวโดย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
จากกระท่อมทุ่งเสี้ยวถึง "สุดสะแนน"ผมรู้จักสุดสะแนน
ที่หมายถึงทั้งชื่อร้านและวงดนตรีของพวกเขาอย่างชัดเจน มาตั้งแต่สมัยที่เขาเริ่มก่อตั้งร้านเล็กๆขนาดกะทัดรัด และเล่นดนตรีแบบสุดสะแนน
โดยมี ฮวก และเพื่อนคู่หู ชวด ซึ่งเป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า ฮวก สุดสะแนน และ ชวด สุดสะแนน หรือที่มีนามจริงกันถัดกันว่า อรุณ ศรีสวัสดิ์ และ ชัยวัฒน์ มัตถิตะเตา
เล่นเป็นตัวหลักอยู่ที่บริเวณย่านร้านอาหารและเครื่องดื่มติดกับถนนสายใหญ่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฝั่งตรงกันข้ามกับประตูคณะวิศวะฯ
เพื่อยืนยันที่จะทำร้านและเล่นดนตรีในแนวที่เขารักและเชื่อมั่น โดยเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ประมาณสักสองปี
ก่อนจะโยกย้ายไปอยู่ที่มุมสี่แยกถนนริมชลประทานที่ตัดผ่านถนนสายห้วยแก้ว ตำบลช่างเคี่ยน โดยขยายร้านจากขนาดเล็กขึ้นมาเป็นระดับกลางภายใต้ร่มเงาแมกไม้ร่มครึ้ม ณ บริเวณที่แห่งนี้
ว่ากันว่า
พื้นที่แห่งใหม่ตรงนี้เป็นสถานที่ที่ทำให้คนรู้จักสุดสะแนนอย่างกว้างขวางทั้งร้านและวงดนตรีแบบสุดสะแนน
โดยเฉพาะกลุ่มนักคิดนักเขียน นักดนตรี คนทำงานจิตรกรรม คนทำงานกิจกรรมทางสังคม และผู้คนอีกมากมายหลายกลุ่ม
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ไม่ว่าจะมีงานกิจกรรมสังคมขององค์กรใดๆในตัวเมืองเชียงใหม่วงสุดสะแนนมักจะมีบทบาทเข้าไปช่วยเล่นในงานนั้นๆอย่างเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ
ตั้งแต่งานกิจกรรมธรรมดาๆไปจนถึงงานกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชนที่เรียกร้องและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และบ่อยครั้ง พวกเขายังรับคำเชิญเดินทางไกลไปเล่นถึงต่างจังหวัด
หรือถ้าหากบุคคลหรือองค์กรใดๆต้องการจะใช้สถานที่ของสุดสะแนนจัดงานอะไรสักอย่าง สุดสะแนนก็ยินดีร่วมมือเปิดพื้นที่ให้ใช้และคอยบริการอำนวยความสะดวกด้วยความเต็มใจ
ด้วยเหตุปัจจัยนี้ สุดสะแนนจึงเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมากมายด้วยคนที่มาใช้บริการอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ณ ช่วงเวลาตอนนี้นี่เอง
สุดสะแนนยืนตัวอยู่ตรงนี้
เป็นเวลาที่ผมคาดเอาเองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าห้าปี ก่อนจะโยกย้ายอีกครั้งหนึ่งมาอยู่ที่ในซอยโคลา เยื้องฝั่งตรงกันข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว
คงจะด้วยเหตุผลเดียวกันกับการโยกย้ายครั้งแรก นั่นคือเจ้าของที่เขาต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้แก่ทุนธุรกิจที่ใหญ่โตระดับเงินล้านที่เอื้อมมืออันใหญ่โตเข้ามา...แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก
เพราะเล็งเห็นผลเลิศจากทำเลที่ได้เวลาเป็นเงินเป็นทองจำนวนมหาศาลเข้าแล้ว ทั้งเจ้าของที่และทุน
คราวนี้
ไม่ว่าสุดสะแนนจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจะเปิดให้เป็นร้านใหญ่ แต่สุดสะแนนก็จำเป็นต้องเปิดร้านให้มีขนาดใหญ่ เพราะขนาดของอาคารที่สุดสะแนนเช่าทำร้านนั้นมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่
บังคับให้สุดสะแนนต้องเป็นร้านใหญ่โดยไม่มีทางเลือก ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของใครต่อใครหลายคนที่ครุ่นคิด...และจับตาดูว่า คราวนี้สุดสะแนนจะไปได้รอดหรือไม่
เพราะเพียงแค่ราคาค่าเช่าอาคารและสถานที่ก็แพงจนเราฟังแล้วขนลุก รวมทั้งความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาอาหารและเครื่องดื่มให้มีราคาแพงขึ้น
เพื่อให้ได้ดุลกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามขนาดของร้านและจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น...
แต่กลับปรากฏว่า สุดสะแนนสามารถยืนหยัดอยู่ได้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยแทบไม่มีใครได้ยินเสียงปริปากบ่นทั้งจากสุดสะแนนและผู้ใช้บริการ
และครั้งนี้ผมถือว่าเป็นการพิสูจน์คุณภาพครั้งที่สำคัญยิ่งของสุดสะแนน เพราะถ้าหากสุดสะแนนยืนหยัดอยู่บนความเปลี่ยนแปลงของตัวเองตรงนี้ไปไม่ได้
สุดสะแนนจะต้องถึงคราวจบสิ้นลง...ในเวลาไม่ถึงขวบปีอย่างแน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนครั้งนี้ย่อมมิใช่ของเล่นๆ ถ้าหากรายได้ของสะแนนไม่ได้ดุลกับค่าใช้จ่ายจิปาถะอันสูงลิ่ว...
นอกจิตใจเพื่อสาธารณะชนที่ทำให้สุดสะแนนมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการอย่างเหนียวแน่นแล้ว มีอีกประการหนึ่งที่ผมมองเห็นว่าเป็นแก่นที่สำคัญที่ทำให้สุดสะแนนยืนหยัดอยู่ได้
ไม่ว่าสุดสะแนนจะโยกย้ายไปที่ไหน ก็จะมีคนตามไปใช้บริการ และมีคนใหม่ๆเข้าไปใช้บริการเพิ่มขึ้น
นั่นคือ อุปนิสัยของสุดสะแนน ที่ปฏิบัตรตัวต่อผู้คนที่เข้าไปใช้บริการด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและอดทน...อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ซึ่งเป็นคุณลักษณะของสุดสะแนนที่ผมได้สัมผัสและมองเห็นอย่างเด่นชัดยิ่งกว่าด้านอื่นๆมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
เช่นน้องชายที่ชื่อเปี๊ยก ที่เข้ามาเป็นพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ยุคที่สุดสะแนนยังเป็นร้านขนาดกลางที่สี่แยกถนนริมคลองชลประทาน
ผมถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสุดสะแนนที่เราสามารถสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากเขาจะทำให้ผมชื่นชมในความสุภาพอ่อนน้อมของเขาแล้ว
เขายังทำให้ผมแอบนับถือในความอดทนของเขา ที่ไม่เคยปริปากโต้ตอบและบ่นว่า
เวลาถูกคนประเภทที่ชอบตัดสินคุณค่าของคนที่สถานภาพทางสังคมบางคน ที่เมาแล้ว พูดจากับเขาในเชิงดูถูกเหยียดหยามเขา เวลาเขาไปทำหน้าที่บริการ...
เปี๊ยกทำให้ผมได้เรียนรู้ตัวเองว่า ความอดทนต่างๆในชีวิตที่ผมเคยได้เรียนรู้มาอย่างมากมายหลายอย่างในชีวิต ยังอยู่ห่างไกลนัก
เมื่อเทียบกับความอดทนในการปฏิบัตรหน้าที่ของเปี๊ยกที่ยังคงอยู่เป็นคู่บุญของ ฮวก สุดสะแนน หรือ อรุณ ศรีสวัสดิ์
ชายหนุ่มผิวขาวผมยาวสลวย รูปร่างหน้าตาดี ผู้มาจากดินแดนแห่งที่ราบสูง จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับปริญญาตรี ศิลปศึกษา จากวิทยาลัยครูสุรินทร์
ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการร้านและวงดนตรีสุดสะแนน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้
และผมแน่ใจว่า
ความอดทนแบบสุดสะแนนที่สะท้อนออกมาจากตัวเปี๊ยกนี่แหละ คือความอดทนที่คงจะมาจากหลักการบริหารระดับสูงประการหนึ่งที่สุดสะแนนนำมาใช้
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือเป็นไปตามธรรมชาติของตัวสุดสะแนนเอง นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตัวเองร้ายแรงสักเพียงใด
สุดสะแนนจะต้องพยายามไม่สร้างความเกลียด และสร้างศัตรูให้แก่ตัวเองอย่างเด็ดขาด...ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่สำคัญและชาญฉลาดอย่างล้ำลึก
แต่ยากยิ่งสำหรับผู้ที่มีจิตในอ่อนไหวต่อการกระทบกระทั่งแบบศิลปินจะทำได้ควบคู่กับการทำธุรกิจ แต่สุดสะแนนทำได้โดยไม่เคยมีข่าวสุดสะแนนทะเลาะกับใครเล็ดรอดออกมาเลยสักครั้ง
เพราะสุดสะแนนรู้จักอดทนและยอมได้... และให้อภัยได้ ไม่ว่าจะมีใครเข้าไปป่วนในสุดสะแนนแบบสุดฤทธิ์สุดเดชขนาดไหน
ดังที่หลายๆคนเคยรับรู้มาหลายต่อหลายครั้ง...และบอกเล่ากันจนกลายเป็นเรื่องโจ้กในสุดสะแนน นั่นเอง

"ชวด และ ฮวก สุดสะแนน ขณะบรรเลงบทเพลงด้วยกัน"
ภาพจาก
http://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100001592509374ผมจึงไม่นึกแปลกใจ
ถ้าหากจะมีใครสักคนหนึ่งมาบอกผมว่า เขาชอบไปนั่งร้านสุดสะแนน แต่จะมีใครสักกี่คนที่พอจะนึกออกว่า เขาชอบไปนั่งร้านสุดสะแนนเพราะอะไร
ถ้าหากมิใช่อุปนิสัยที่สุภาพอ่อนน้อมและอดทน ที่รวมเป็นบุคลิกภาพและใบหน้าของสุดสะแนน ซึ่งเป็นบุคลิกภาพและใบหน้าที่ทำให้คนที่เข้าไปใช้บริการ
รู้สึกว่าตนเองอบอุ่น ปลอดภัย ไร้ความต่ำต้อย และเป็นคนๆหนึ่งที่มีคุณค่าความหมาย เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน
สุดสะแนนพร้อมที่จะสุภาพอ่อนน้อมและอดทนต่อคุณได้เสมอ ทันทีที่คุณเดินผ่านประตูเข้าไปในอาณาจักรของสุดสะแนน
นี่คือแก่นที่สำคัญที่สุดของสุดสะแนนที่ผมมองเห็นมานานเป็นเวลาถึง 12 ปี และเชื่อโดยไม่ลังเลใจในวันนี้ว่า นี่คืออุปนิสัยอันดีงามที่มาจากจิตใจที่แท้จริงของสุดสะแนน
ที่ทำให้สุดสะแนนยืนหยัดอยู่ได้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และเชื่อว่ายังจะยืนหยัดอยู่ได้ต่อไปอย่างสบายๆ เพราะอุปนิสัยที่ใครๆก็อยากจะคบค้าสมาคมด้วย
ถ้าหากสุดสะแนนยังไม่อิ่มตัวและนึกเบื่อ ค่ำคืน แสงสี ดนตรี แก้วเหล้า และผู้คนที่ชอบเสพสุนทรีย์แห่งโลกียะของชีวิตในยามค่ำคืน...
ครับ ผมหวังว่า ข้อเขียนเล็กๆในเชิงวิเคราะห์โครงสร้างทางสังคมและสปิริตของสุดสะแนนจากมุมมองเล็กๆของผม เนื่องในวันครบรอบ 12 ปีสุดสะแนนในวันที่ 24 ธันวาคมปีนี้
คงจะเป็นประโยชน์แก่สุดสะแนนบ้างไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับที่ให้เกียรติมาเขียนในหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งมินิคอนเสิร์ตร้อยกวี ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ที่สุดสะแนนให้เกียรติจัดให้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่เพิ่งผ่านไปด้วยความอบอุ่นกันถ้วนหน้า ขอบคุณและขอบคุณ.