« เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:32:06 PM »
จากการวางแผนและประชุมกันยาวนานในที่สุด ทีม Coffee-BIKERS ของเราก็ได้ข้อสรุปในการพิชิต หลวงพระบางเมืองมรดกโลก โดยกำหนดวันเดินทางเป็นช่วงวันที่ 18-29 พ.ย. 53 ซึ่ง เราแบ่งออกเป็น2 ทีม ทีมแรกเดินทางจากภูเก็ตโดยขี่ รถไปล่วงหน้าออกเดินทางวันที่ 18 พ.ย. มีจำนวน 6 คัน นำทีมโดย โกศักดิ์ ,พี่โอ่ง,พี่ดี้,พี่ตี๋, Mr. Cage,และผมเอง(เก้ง) พร้อมด้วยทีมรถ Service ประกอบด้วย พี่เล็ก และช่างรินทร์..พี่หนึ่ง จะเดินทางจาก ชลบุรี เข้าร่วม Trip โดยนัดเจอกันที่โคราช ในวันที่ 20 พ.ย. 53 ส่วนทีมที่ 2 จะส่งรถไปรอที่อุดรธานีล่วงหน้าจำนวน 8 คัน และจะเดินทางจากภูเก็ตโดยเครื่องบินลงที่สนามบินอุดร ในวันที่ 21 พ.ย. ประกอบด้วย อาจารย์สมคิด , ท่าน ส.จ.บุญมา,พี่สันต์,โกสันต์,โกอิ้ว,พี่หลวง,บังเด่น,โกเอก หลังจากนั้นจะขี่รถคู่ใจไปเจอกับทีมแรก โดยทั้ง 2 ทีม และทีมงาน ไกด์จาก บริษัท TRANS ASIA ROUTE นัดเจอกันที่หนองคาย และจะเข้าสู่ประเทศลาวพร้อมกันในวันที่ 21 พ.ย. 53 และเดินทางกลับพร้อมกันทั้งหมดผ่านจังหวัดต่างๆในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ มาถึง จ.ภูเก็ตในวันที่ 29 พ.ย. 53
18 พ.ย. 53 วันที่ 1 ของการเดินทาง… การเดินทางของทีมแรกเริ่มขึ้นโดย ออกจากหน้าร้าน Coffee-BIKERS ในเวลาประมาณ 10.00 น. โดยมีอาจารย์สมคิดและพี่นุช มารอส่งพวกเราและคอยดูแลความเรียบร้อยและความพร้อมของรถ Service อย่างใกล้ชิด จนวินาทีสุดท้าย เป้าหมายของวันนี้คือ หัวหิน เราเดินทางออกมาผ่านจังหวัดพังงา และแวะจอดพักกินข้าวกินกาแฟ ไปจนถึงบริเวณ ปั๊มจิงโจ้ที่ จ.ชุมพร ในเวลาประมาณบ่าย 2 ซึ่งที่นี่เราต้องจอดรอพี่ดี้ที่บึงรถมาจาก จ.สุราษฎร์ คนเดียวหลังจากทำธุระเสร็จเพื่อมาร่วมทีม ในเวลาบ่ายแก่ๆ พี่ดี้ก็มาถึงในสภาพที่โดนฝนมาแล้วพอหอมปากหอมคอ และแวะพักจนหายเหนื่อย เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็ออกเดินทางกันต่อ เมื่อเข้าสู่ จ.ชุมพรก็เริ่มมีฝนตกลงมา เราแวะกินข้าวกันอีกทีที่บริเวณเขาโพธิ์ หลังจากกินข้าวเสร็จก็ขี่รถตากฝนกันต่ออีกเป็นร้อยกิโล การขี่รถช่วงนี้ต้องใช้ความระวังอย่างมากเพราะฝนตกและมืดมาก เราทุกคนก็กัดฟันค่อยๆใช้ความระมัดระวังจนมาถึงหัวหินในเวลา ค่ำ วันนี้เหนื่อยกันพอสมควรเมื่อได้ห้องพักก็แยกย้ายกันเข้านอน รวมระยะทางที่ขี่มาวันนี้ 650 กิโลเมตร
19 พ.ย. 53 วันที่ 2 ของการเดินทาง… เราตื่นนอนกันตั้งแต่เช้า และต่างคนต่างก็ล้างรถกันใหญ่เพราะเมื่อคืนลุยฝนกันมาจนมอมแมมกันทุกคัน กลัวขี่แล้วไม่เท่ห์นะ เมื่อได้เวลาก็ออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายของเราวันนี้ คือ โคราช ประตูสู่ภาคอีสาน เราขี่รถกันมาแวะกินข้าวกันที่เพชรบุรีและเดินทางต่อเข้ากรุงเทพ มาแวะจอดที่ปั๊มน้ำมันแถวๆ The MALL บางแคอยู่พักใหญ่ เนื่องจากพี่ตี๋ มีปัญหาว่ายางหน้ามีรอยแตกกลัวว่าจะไปเที่ยวแล้วไม่มั่นใจก็เลยสั่งยางหน้าเส้นใหม่จากร้านในกรุงเทพและรอให้เขามาส่ง คนที่มาส่งก็ดันไม่รู้จัก The MALL บางแค วนอยู่ 3 รอบ 4 รอบ จนในที่สุดก็ไม่เจอจนเราต้องย้ายที่ไปนัดเจอกันที่สมาคมชาวปักษ์ใต้แทน กว่าจะเจอกันก็เล่นหนังอินเดียกันเป็นชั่วโมง หลังจากได้ยางมาพี่ตี๋ก็เอายางมามัดไว้ด้านหลังตรงพนักพิงของ FAT BOY คู่ใจ ดูไปดูมาจาก Harley ก็กลายเป็น เวสป้า ไปเลย หลังจากพี่ตี๋แปลงร่าง Harley เป็น เวสป้า เสร็จเราก็บึ่งกันต่อ แวะเติมน้ำมันกันตามระยะจนมาถึง โคราช ในเวลาค่ำ ก่อนเข้าตัวเมืองโคราชก็มีเรื่องให้เสียเวลาอีกเนื่องมาจากว่ารถ Service ของเราโดนตำรวจจับข้อหาใช้รถป้ายแดง หลัง 6 โมงเย็น หลังจากจ่ายค่าปรับก็เดินทางเข้าที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล รีบอาบน้ำลงมาหาข้าวกินกัน ระหว่างที่กินข้าวอยู่พี่โอ่งก็เริ่มสนใจรถเข็นคันเล็กๆคันหนึ่งที่มีคนมุงอยู่เต็ม ก็เลยเข้าไปดูปรากฏว่าเขาขายขนม เรียกว่า ขนม โอชิน พี่โอ่งก็เลยลองซื้อมากินแต่กว่าจะได้กินก็ต้องรออยู่นานสองนาน หลังจากได้กินกันสมใจ ก็กลับที่พัก รีบนอนพร้อมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
20 พ.ย. 53 วันที่ 3 ของการเดินทาง… หลังจากตื่นแล้วก็ตรวจเช็คความพร้อมของรถทุกคัน กินข้าวเช้าที่โรงแรม จุดหมายของวันนี้คือ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อทุกคนพร้อมก็ออกไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท. วันนี้เรามีนัดกับพี่หนึ่ง ที่เดินทางออกมาจากชลบุรีแต่เช้าเพื่อตามมาเข้าร่วม Trip พิชิตหลวงพระบาง กับเราตามที่นัดหมายกันไว้ รอไม่นานพี่หนึ่งก็มา เรามุ่งหน้าไปทางขอนแก่น และมีโอกาสได้แวะกินเป็ดที่ ร้านทิวไผ่ ที่ อ.พิมาย ตามคำแนะนำของพี่โอ่ง เราสั่งเป็ดมากินกันอลังการมากจนเกือบกินไม่หมด และพวกเราได้แวะเข้าชมปราสาทหินพิมาย ซึ่งเป็นแลนด์มาร์ค ของที่นี่ โกศักดิ์ก็รีบวิ่งเข้าไปเก็บภาพความสวยงามภายใน โกศักดิ์บอกว่าแหมอุตส่าห์ถอยกล้องมาใหม่ราคาเป็นแสน ขอถ่ายหน่อยเถอะ เรามีเวลาไม่มากก็ต้องรีบออกเดินทาง เพราะเรามีนัดกับคนอีกคนหนึ่งนั่นคือ ภรรยาของ Mr. cage ที่ขี่รถ KAWASAKI SPORT มารอร่วมเดินทางไปเชียงคานกับเราอยู่ที่ขอนแก่น Mr. cageโทรหาหวานใจทุกครั้งที่แวะเติมน้ำมันคอยบอกว่าจะถึงแล้วนะจ๊ะ รอแปบๆ สงสัยคิดถึงภรรยาอย่างแรง เราก็รีบๆไปให้ถึงโดยเร็ว เพราะอยากให้ Mr. cage เขาเจอหวานใจเร็วๆ เมื่อมาถึงขอนแก่น Mr. cage เจอหน้าหวานใจพร้อมกับพ่อตาแม่ยายที่ขับรถฟอร์จูนเนอร์มารอลูกเขยอย่าใจจดใจจ่อ Mr. cage บอกผมว่า อีสาน คือบ้านของเขา เขาบอกว่าเขาเป็นคนมหาสารคราม เขารักเมืองไทยมากและภูมิใจที่ได้อยู่ในประเทศที่เสรีประเทศนี้ ฟังแล้วรู้สึกดีจัง หลังจากนั้นพวกเราก็หลงๆทางกันในขอนแก่นสักพัก ก็เดินทางมาถึงปั๊ม ปตท.ที่ ชุมแพ ที่ปั๊มแห่งนี้เราได้พบกับกลุ่ม BIKERS อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินทางกลับจาก Trip เขื่อนจุฬาภรณ์ พี่ๆเขามากันหลายคัน พูดคุยทักทาย ถ่ายรูป กันอยู่พักใหญ่ เราก็เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ เชียงคาน ขี่กันไปพักใหญ่พอเริ่มค่ำอากาศก็เริ่มเย็นลง พระจันทร์ในคืนก่อนวันเพ็ญก็ทอดแสงให้เราเห็นภูเขาเป็นเงาอยู่เบื้องหน้าและพอได้มองเห็นบรรยากาศรอบๆตัวอยู่บ้าง ทำให้ได้ภาพบรรยากาศที่แปลกตากันไปอีกแบบ เดินทางถึงเชียงคานก็เข้าที่พัก วันนี้เราทุกคนนอนรวมกันอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังเดียว ยกเว้น Mr. cage แยกไปนอนกับภรรยาที่บ้านพักอีกหลังหนึ่ง หลังจากจองเตียงกันเรียบร้อยก็ขี่รถไปหาข้าวกิน ย่านเมืองเก่า ถ่ายรูปซื้อของฝากกันวุ่นวาย เชียงคานเป็นเมืองโรแมนติกอีกที่หนึ่งที่น่าทองเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง อาหารอร่อย ข้าวของก็ไม่แพง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส สาวๆสวย ไม่เสียแรงที่เราเลือกพักที่เชียงคาน พอดึกๆก็ขี่รถฝ่าความหนาวกลับไปที่พัก นั่งคุยกันสนุกสนาน มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากกรุงเทพที่พักอยู่บ้านข้างๆกับเราเข้ามาทักทายและขอถ่ายรูป พอได้เวลาก็เข้านอน รวมระยะทางที่ขี่มาวันนี้ ประมาณ 500 กิโลเมตร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2010, 08:44:56 PM โดย Keng CoffeeBikers »
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:33:22 PM »
21 พ.ย. 53 วันที่ 4 ของการเดินทาง…เราตื่นนอนตอน7โมงเช้า วันนี้ช่างรินทร์มีงานแต่เช้านอกจากการตรวจเช็ครถประจำวัน เพราะรถของ Mr. cage มีปัญหาเรื่องไฟท้ายนิดหน่อย แต่ใช้เวลาไม่นานก็จัดการปัญหาได้ เมื่อเก็บของเสร็จเราก็เตรียมตัวออกไปกินข้าวเช้า และถือโอกาสนี้ ล่ำลา Mr. cage และภรรยา เพราะเขาไม่ได้เดินทางเข้าประเทศลาวกับพวกเรา เขามีภารกิจจะต้องเดินทางไป ฮอลแลนด์ และสัญญากันว่าโอกาสหน้าจะกลับไปร่วม Trip กันอีก เราเลยต้องกล่าวคำอำลาฝรั่งมหาสาราครามและภรรยาเอาไว้ตรงนี้ จากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาอยู่ที่เชียงคานอีกพักใหญ่ ค่อยๆเก็บเกี่ยวบรรยากาศ และความสวยงามของเชียงคานในมุมต่างๆอย่างไม่รีบร้อนมากนัก เราไม่สามรถมองเห็นประเทศลาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขงได้เนื่องจากมีหมอกบดบังเอาไว้มีแต่เสียงเพลงภาษาลาวที่สามารถเล็ดลอดม่านหมอกข้ามมาถึงฝั่งไทยให้เราได้ยินในยามเช้า นั่งรอดูอยู่พักใหญ่ประเทศลาวก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นเบี้องหน้าหลังจากที่ม่านหมอกในแม่น้าโขงจางไป เป้าหมายของเราวันนี้ คือ กรุงเวียงจันทร์ เมืองหลวงของประเทศลาว อยู่ไม่ไกลมาก แค่ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร เราใช้เส้นทางหมายเลข 211 ลัดเลาะตามแนวชายแดนไปตามแม่น้ำโขง จอดพักถ่ายรูปและขับชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางเราได้เห็นระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงอย่างมากจนเห็นสันดอนโผล่ขึ้นมามากมายเป็นผลมาจากประเทศจีนสร้างเขื่อนกักน้ำเอาไว้ ทำให้ระบบนิเวศน์ บริเวณ 2 ฝั่งโขงเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เราใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง ร้านอาหารใกล้ๆสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว จ.หนองคาย เรามาถึงก็ได้พบกับ ไกด์ จาก บริษัท TRANS ASIA ROUTE ที่รอเราอยู่ คือ พี่อ้น กับพี่อั้ม เราพักการเดินทางที่นี่เพื่อรอทีมของอาจารย์สมคิด ที่เดินทางโดยเครื่องบินจากภูเก็ตลงที่อุดรและจะต้องขี่รถมาเจอเราที่หนองคาย โดยมีทีม Service พี่เล็กและช่างรินทร์ แยกตัวไปที่สนามบินอุดรเพื่อตรวจเช็คความพร้อมของรถที่ส่งมาล่วงหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าของรถมาถึงก็บึ่งได้เลย จะได้ไม่มีปัญหา แหมต้องปรบมือให้ทีม Service ของร้าน Coffee-BIKERS เพราะทีมนี้ทำทุกอย่าง เป็นช่างดูแลรถด้วยเป็นช่างภาพด้วยเป็นไกด์ด้วย คอยดูแลให้เราอุ่นใจมาตลอดเส้นทาง ในระหว่างที่รอทีมอาจารย์สมคิดอยู่ ทุกคนก็พอมีเวลาว่างทำกิจกรรมพอสมควร พี่หนึ่ง พี่ตี๋และผมเอง นอนหลับบ้างร้องคาราโอเกะบ้าง กินข้าวบ้าง โกศักดิ์ก็แอบไปนอนพักมาได้งีบหนึ่ง พนักงานในร้านก็ใจดีคอยดูแลตลอด เวลาล่วงเลยมาจนประมาณ 6 โมงกว่าทีมอาจารย์สมคิดก็มาถึง บรรยากาศก็เริ่มมืดพอดี เราต้องถ่ายสำภาระทั้งหมดในรถ Service ไปใส่รถของไกด์ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นรถ Service แทนในเวลาที่อยู่ในประเทศลาว และพี่เล็ก Driver ของเราก็เสียสละไม่เดินทางเข้าไปในลาวกับเราอาสาจะดูแลรถ Service และคอยเราอยู่ในฝั่งไทย หลังจากที่ผมขี่รถมาจากภูเก็ต 4 วันเป็นระยะทาง 1800 กิโลเมตรก็ได้เวลาที่จะข้ามไปประเทศลาวสักที ในเวลาประมาณ1ทุ่ม ขบวนของเราก็เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเข้าสู่ ประเทศลาว เราใช้เวลาในการตรวจเอกสารอยู่สักพัก และบริเวณด่านไกด์ได้แนะนำให้เรารู้จักกับ ไกด์ผู้หญิงอีกคนที่เป็นคนลาว และตำรวจท่องเที่ยวของลาว ซึ่งเขาขับรถสีแดงติดไซเรน แต่งเครื่องแบบเต็มยศ มารอเราอยู่ที่ด่านอยู่นานแล้ว ซึ่งเขาจะทำหน้าที่เป็นรถนำให้เราตลอดช่วงเวลาที่เราต้องขี่รถในลาว และรถของไกด์ก็จะทำหน้าที่เป็นรถปิดท้ายขบวน เมื่อขบวนเริ่มเคลื่อนออกจากด่านเราต้องปรับความรู้สึกกันพอสมควรเพราะที่นี่เขาขี่รถกันในเลนขวาเวลาจะเลี้ยวทางข้ามทางแยกก็งงงงพอประมาณ แต่โชคดีที่มีรถตำรวจนำทำให้การขี่รถง่ายและปลอดภัยขึ้นมาก เราแวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง เราได้เห็นประเทศไทย อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำโขง หลังจากนั้นก็เคลื่อนขบวนเข้าที่พัก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงตรงข้ามกับ บริเวณ อ.ศรีเชียงใหม่ ของไทย ห้องพักที่เราพักตกแต่งไว้สวยงามดีมาก หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ลงไปเจอกันหน้าโรงแรม หลายคนเริ่มมีปัญหาเรื่องโทรศัพท์เพราะเดี๋ยวจับสัญญาณของไทยบ้าง ลาวบ้าง ไม่ได้เปิดโรมมิ่งบ้าง โทรไม่ออกบ้าง พี่ดี้ต้องคอยแนะนำและ Set เครื่องโทรศัพท์ให้หลายคน เมื่อทุกคนพร้อมเราก็เหมารถ TAXI ที่เป็นรถ 3 ล้อ ซึ่งที่นี่เขาเรียกว่า รถจำโบ้ เพื่อเข้าไปเที่ยวชมบรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเวียงจันทร์ เราเหมารถ 3-4 คันแยกกันออกไปวนไปวนมา ก็มาเจอกันตามแยก สวนกันไปสวนกันมา เหมือนหา RC ตอนแข่งรถแรลลี่ ทำให้สนุกกันใหญ่ ในที่สุดหลังจากวนๆและดมฝุ่นกันอยู่พักใหญ่ รถคันที่ผมนั่งมา ซึ่งมี อ.สมคิด โกสันต์ ช่างรินทร์ และพี่หนึ่งก็แวะจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราลงไปกินก๋วยเตี๋ยว คนละชาม 2 ชาม พี่หนึ่งก็ได้สั่งเบียร์ลาวมากินด้วยเพิ่มบรรยากาศของการกินอาหารในประเทศลาวให้ดูกลมกลืนมากขึ้น อิ่มแล้วก็เช็คบิล มื้อนี้เรากินไปทั้งหมด แสนสามสิบห้าพัน (135000 กีบ) โกสันต์ต้องนั่งคำนวณกดเครื่องคิดเลขอยู่สักพัก เอา 260 หาร 135000 กีบ ก็ตกประมาณ 500 กว่าบาท หลังจากอิ่มแล้วรถ จำโบ้ ก็มาส่งเราเข้านอนที่โรงแรมจ่ายค่ารถอีกคนละ 80 บาท
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2010, 09:01:43 PM โดย Keng CoffeeBikers »
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:35:34 PM »
22 พ.ย. 53 วันที่ 5 ของการเดินทาง…เมื่อคืนนี้ไกด์นัดเราไว้ 6,7,8 หมายความว่า ตื่น 6 โมง กินข้าว 7 โมง ล้อหมุน 8โมง เราก็เลยต้องรีบตื่นเพื่อไม่ให้พลาดเวลาที่ Set ไว้ เพราะการเดินทางไปหลวงพระบางจะต้องใช้เวลามาก คนที่พร้อมแล้วก็ทยอยย้ายรถมาจอดเรียงแถวบริเวณหน้าโรงแรมเพื่อจะถ่ายรูปก่อนออกเดินทาง แต่มีรถอยู่คันหนึ่งจอดสนิทอยู่คันเดียวไม่ยอมเลื่อนสักที นั่นคือรถของพี่หนึ่ง ก็เลยต้องสืบเสาะว่าเมื่อคืนพี่หนึ่งนอนห้องไหน แล้วก็โทรตาม สักพักใหญ่ๆหนุ่มหล่อหน้าตาดีนามว่าหนึ่งก็เดินลงมาจากโรงแรม ในเมื่อลงมาเป็นคนสุดท้ายก็ต้องโดนแซวตามระเบียบ พี่หนึ่งบอกว่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกก็เลยหลับยาวไปหน่อย จากที่นัดไว้ 6,7,8 ก็เลยต้องเลื่อนเป็น 6,7,9.5 แทน ต้องขอขอบคุณพี่หนึ่งที่ทำให้เรามีเวลาถ่ายรูปหน้าโรงแรมมากขึ้นและโกศักดิ์ก็ได้มีเวลาเมาท์กับเจ้าของโรงแรมเรื่องรถไปพลางๆ เราออกเดินทางจากเวียงจันทร์ได้ประมาณ 70 กิโลเมตรก็แวะกินกาแฟ เติมน้ำมันหลังจากนั้นเดินทางต่ออีกประมาณ 20 กิโลเมตร ขบวนก็จอดตรงบริเวณสะพานยาวๆให้เราถ่ายรูป มีนักท่องเที่ยวจากนิวซีแลนด์เข้ามาสอบถามถึงการเดินทางของเราผมก็โม้เพลิน จนโกเอกต้องตะโกนเรียกผมไปถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน จากนั้นเราก็ใช้เส้นทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยหลุมและฝุ่น แวะเติมน้ำมันกันอีกครั้ง จนมาถึงวังเวียงในเวลา เที่ยงครึ่ง เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ ไกด์บอกว่าเราต้องรีบกันหน่อยเพราะเหลือระยะทางอีกประมาณ 230 กิโลเมตรกว่าจะถึงหลวงพระบาง และทางข้างหน้าเป็นทางบนเขาตลอดและถนนก็เสียมากกว่าดี ไม่สามารถทำเวลาได้ เราก็รีบ ออกเดินทาง เป็นจริงดังว่าถนนที่นี่แย่มาก บางช่วงถนนลาดยางหายไปเฉยๆ เป็นช่วงๆ เหมือนเป็นเส้นประ ทางบนเขาก็แคบ ชัน โค้งก็หักศอก ของที่ไม่ควรอยู่บนถนนก็มาอยู่บนถนน เช่น ก้อนหินที่ใหญ่เท่าลูกแตงโม , ไม้อันใหญ่ประมาณเมตรกว่าๆ,วัว,ไก่,หมู,เด็ก,ทำให้การขี่รถช่วงนี้ต้องใช้สมาธิอย่างมากทำให้ไม่มีใครได้ถ่ายรูปกันมาสักเท่าไร่เพราะพลาดนิดเดียวอาจจะตกเหวได้ บางช่วงห่างจากขอบถนนออกไปแค่ 2-3 ก้าวก็เป็นเหวลึกเป็นร้อยเมตร และไม่มีเหล็กกั้นด้วย มีเพียงหญ้าบางๆบดบังสายตาเอาไว้ถ้าใครแหกโค้งก็ งานเข้า ตกเหวแน่นอน ยางมะตอยก็เสื่อมสภาพมีอยู่ช่วงหนึ่งมียางมะตอย กองอยู่บนถนนสูงมากเหมือนภูเขา พี่หนึ่งเข้าโค้งมาเต็มที่ทำให้ใต้ท้องรถครูดกับถนนจนน้ำมันเครื่องก็ทะลักออกมาเต็มถนน โชคดีที่คันที่ขี่ตามหลังมาไม่มีใครล้ม มีแต่ลื่นๆให้เสียวๆกันไปหลายคัน เราจอดรถแถวๆหมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่งบนภูเขาซึ่งอยู่ริมเหวที่สูงชัน เพื่อประเมินอาการรถของพี่หนึ่ง คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของ อ.สมคิดและช่างรินทร์ จากการตรวจสอบอยู่สักพักสรุปว่าน๊อตที่ไว้ถ่ายน้ำมันเครื่องหลุดหายไปเลย ถ้าไม่มีน๊อตก็ต้องยกรถ พี่ดี้โกเอก และพี่หนึ่ง ก็เลยเดินหาน๊อตที่หลุดหายไปด้วยความหวังอันน้อยนิด แต่ในที่สุดโกเอกกับพี่หนึ่งก็เจอเหมือนโชคช่วย เพราะน๊อตที่หลุดไปฝังติดอยู่กับภูเขายางมะตอยนั่นแหละไม่ได้กระเด็นตกเหวลงไป ไกด์บอกว่าเจ้าภูเขายางมะตอยลูกนี้เคยทำทีมอื่นที่ขี่รถมาโช๊คแตกถึงขนาดต้องยกรถกลับมาแล้ว ในระหว่างรอช่างรินทร์จัดการกับรถของพี่หนึ่ง เราก็ถือโอกาสจิบกาแฟกินขนมที่ไกด์เตรียมมาไปพลางๆ พี่ๆหลายคนก็หันไปพูดคุยกับชาวบ้านและแจกเงินให้เด็กๆและผู้หญิงที่มีลูกเล็กๆหลายคน ชาวบ้านเขาก็มีน้ำใจเสียสละน้ำให้เราล้างคราบน้ำมันเครื่องที่ติดบริเวณล้อรถของพี่หนึ่ง ผมถามเขาว่าเอาน้ำมาจากไหนเขาบอกว่าต้องเดินลงเขาไปตักน้ำไกลเป็นหลายกิโลเลยทีเดียวและน้ำที่เขาให้เราก็เป็นน้ำที่เขาตักมาไว้ใช้ในบ้าน แต่เขาก็เต็มใจที่จะให้เราได้ใช้ น่าชื่นชมน้ำใจของชาวลาวจริงๆ สักพักใหญ่เราก็พร้อมออกเดินทางต่อ สภาพถนนก็ไม่ต่างจากเดิม มีอันตรายรอยู่ทุกโค้ง ผมขี่รถและหันไปดูวิวได้ไม่ถึง 5 วินาทีก็ต้องรีบหันกลับมามองที่ถนนแล้วเพราะมิฉะนั้นอาจจะตกหลุมโช๊คแตกได้ แวะพักและเติมน้ำมัน ขับกันไปเรื่อยๆจนเริ่มมืด จนเหลือระยะทางอีกประมาณ 30 กิโลจะถึงหลวงพระบางการเดินทางของเราก็หยุดชะงักอีก อันเนื่องมาจากว่าเขาปิดถนน เพื่อจะดึงรถกระบะที่ตกลงไปในเหวขึ้นมา ผมก็เลยเดินไปดูจุดที่รถตกลงไป เดินออกไปจากขอบถนนประมาณ 4 ก้าว ก็เป็นเหวแล้วโผล่หน้าไปมองเห็นแต่ร่องรอยที่รถตกแต่ไม่เห็นก้นเหวเพราะลึกมาก รออยู่สักพักเขาก็เปิดถนนเราก็เดินทางต่อค่อยๆขี่กันไปต่อโดยเปิดไฟขอทางไว้ตลอดทำให้แลดูเหมือนฝูงหิ่งห้อยที่ค่อยๆบินฝ่าความมืดความหนาวและแนวแนวเขาของหลวงพระบางที่โอบล้อมพวกเราไว้ เราต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพราะร่างกายพวกเราเริ่มเหนื่อยล้ากันทุกคน ในใจผมคิดถึงแต่คำที่เขาโฆษณาว่า “สบายดี หลวงพระบาง” ตีความตามความหมายของไทยได้ว่า เมือไร่ถึงหลวงพระบางก็จะสบายดีกว่าขี่รถบนเขาในความมืดแบบนี้ ก็เลยพอมีแรงฮึด ในที่สุดก็เริ่มเป็นทางลงเขาแสงไฟก็เริ่มมีมากขึ้นนั่นหมายความว่าเราได้เดินทางมาถึง หลวงพระบางแล้ว เมื่อมาถึงทีมงานไกด์ก็ได้ประสานงานจัดเตรียมอาหารค่ำรอไว้ให้เราอย่างพร้อมเพรียงแบบว่ามาถึงก็ได้กินเลยไม่ต้องรอที่ร้านอาหารที่ชื่อว่า ร้านเทพบุบผา จอดรถได้ก็ล้างมือล้างหน้าตั้งหน้าตั้งตากินก่อนเรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลัง กินเสร็จแล้วผมแอบออกมาถ่ายรูปบรรยากาศยามค่ำคืนของหลวงพระบางได้สักพักก็แอบเอนหลังอยู่หน้าร้านนั่นเอง พี่ๆหลายคนก็วุ่นวายกับการหา ซิมโทรศัพท์ของลาวและบัตรเติมเงินเพื่อโทรกลับเมืองไทยโดยความช่วยเหลือของไกด์ลาว วันนี้เป็นวันที่น่าแปลกใจอีกวันหนึ่งเพราะมีคนโทรผิดหาผมทั้งวันซึ่งผมต้องเสียค่ารับสายนาทีละ 39 บาท โทรมาขายประกันบ้างโทรมาขายบัตรเครดิตบ้าง อยู่ตั้งหลายวันไม่โทรดันมาโทรเอาวันที่เราเสียค่ารับสายนาทีละ 39 บาทเนี่ยอะนะ เฮ้อ.... อิ่มกันแล้วก็เข้าที่พักตามสูตรโรงแรมที่เราพักชื่อ โรงแรมวังสวัสดิ์ ห้องพักสะอาดดีเป็นห้องพักแบบเตียงคู่นอนห้องละ 2 คน ผมนอนห้องเดียวกับโกโอ่ง ที่ห้องหมายเลข 8 ส่วนคนอื่นหลังจากจับคู่กันได้ก็เข้าห้องอาบน้ำ ออกไปพร้อมกันที่หน้าโรงแรม เหมารถ จัมโบ้ ออกไปเที่ยวชมเมือง กันอีกในที่สุดก็ไปรวมกันอยู่ที่ ดิสโก้เทค แห่งหนึ่งพวกเรานั่งดูคนหลวงพระบางเต้นรำแล้วเพลินตาและน่ารักดี เพราะเป็นการเต้นแบบดั้งเดิม คนที่เต้นประมาณ 20 คนจะเต้นเป็น Step เดียวกันและพร้อมเพรียงกันหมดทุกคน เหมือนแดนเซอร์ที่ต้องซ้อมกันมานาน นักร้องผู้หญิงก็แต่งตัวแบบลาวดั้งเดิมดูเรียบร้อย ไม่มีการใส่สั้นๆ วับๆแวมๆ เหมือนนักร้องในบ้านเราเพลงก็เป็นแนวดั้งเดิม เมืองแห่งนี้เขายังรักษาวิถีการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าชื่นชม สมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ หลังจากนั้นก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวที่คนลาวเรียกว่าเฝอนั่นแหละ ซึ่งเป็นร้านไม่ใหญ่มากแต่คนเยอะ ประหนึ่งว่าจะมีอยู่ร้านเดียวในหลวงพระบางใครๆก็มากินร้านนี้ ร้านนี้ซาลาเปายังอร่อยมากอีกด้วย ก็เลยกินกันจนท้องป่อง อิ่มแล้วรถ จำโบ้ ก็ไปส่งเราที่โรงแรม นั่งพูดคุยกันสักพักก็แยกย้ายกันเข้านอน
|
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:36:47 PM »
23 พ.ย. 53 วันที่ 6 ของการเดินทาง... วันนี้เรายังคงพักอยู่ที่หลวงพระบางอีกวันทำให้ไม่ต้องรีบร้อนตื่นมากนัก ทีมงานไกด์และตำรวจลาวก็มารอเราอยู่หน้าโรงแรมแต่เช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กินอาหารเช้าของโรงแรมและออกไปรวมตัวกันด้านหน้าโรงแรมซึ่งไกด์ได้จัดรถ จำโบ้ มารอรับพวกเราไปเที่ยว ไกด์พาเราไปเที่ยวชมความสวยงามของวัด 2 – 3 แห่ง และพาชมเมือง ทำให้เราได้รู้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา 450 ปีของเมืองแห่งนี้ได้กระจ่างมากขึ้น ได้เวลาก็ไปกิน เฝอกันอีกที่ร้านในเมือง เรากินกันไปคุยกันไปแบบไม่รีบร้อนเพราะวันนี้เราไม่มีโปรแกรมที่ต้องเดินทางไปไหน กินเสร็จแล้วผมก็ยืมกล้องถ่ายรูปตัวละแสนของโกศักดิ์ออกมาถ่ายรูปสาวๆที่ขี่จักรยานผ่านไปผ่านมา ถ่ายบรรยากาศของเมืองบ้าง แล้วเราทุกคนก็กลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่โรงแรม บางคนก็นอนพักผ่อน ช่างรินทร์ก็จัดการเปลี่ยนประเก็นรถที่มีรอยซึมของน้ำมันเครื่องให้โกอิ้ว และจัดการโช็คหลังด้านซ้าย ของรถโกเอกที่มีอาการน้ำมันรั่ว ด้วยความพร้อมของทีมงานและการจัดอะไหล่และเครื่องมือของ อ.สมคิด ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ช่างรินทร์ใช้เวลาไม่นานก็สามารถจัดการปัญหาเรื่องรถได้จบเบ็ดเสร็จ ผมและพี่ๆอีกส่วนหนึ่งก็ล้างรถที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น ไปพลางๆ จนเวลา ประมาณ 4 โมงเย็นเรามีนัดกันขี่รถออกไปบริเวณริมแม่น้ำ ผมกับโกเอกมัวแต่นวดแผนโบราณกันเลยต้องขี่ตามไปทีหลัง ถามทางชาวบ้านเสร็จก็ขี่กันไปแบบงงงง และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ คือหลงทาง วนไปวนมาจนเจอกับพี่หนึ่งที่ขี่รถกลับมาเอาของที่โรงแรม ก็เลยมีคนนำทางไป ตามไปถึงก็กินของว่างนั่งคุยกันชมบรรยากาศของหลวงพระบางยามเย็น โกศักดิ์ก็ใช้เวลาที่ว่างคุยกับฝรั่งที่เข้ามาสอบถามถึงการเดินทางของเรา ทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ประจำ กลุ่มได้ดีทีเดียวนะโกศักดิ์ ส่วนพี่ดี้ พี่บังเด่น โกสันต์ ก็แยกตัวออกไปเที่ยวในตลาดบ้างก็หาซื้อ โทรศัพท์ I-Phone 4 แบบจีนๆ ติดไม้ติดมือกันไป ได้เวลาประมาณทุ่มกว่าๆเราก็มาอยู่ที่ร้านอาหารอีกร้านในเมืองหลวงพระบางด้วยความรวดเร็ว เราจอดรถและกินข้าวกันบริเวณชั้น 2 กินเสร็จแล้วก็ไปเดินเที่ยวกันที่ตลาดมืด ณ.ที่นี้มีของขายเต็มไปหมด เราก็แยกย้ายกันเดินซื้อของตามใจชอบ ผมกับโกเอกก็ได้แยกตัวออกจากกลุ่มไปเดินเที่ยวด้วยกันซื้อของไปคุยกับแม่ค้าไป นั่งคุยอยู่นานเล่นมุกแบบไทยๆบ้างลาวๆบ้าง จนแม่ค้าลาวขำกันทั้งตลาด แล้วเราก็พบกับสาวสวยคนหนึ่งเดินคุยโทรศัพท์อยู่ ผมบอกกับโกเอกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือน แอ๊บเลย จนเขาเดินผ่านไปแล้วแม่ค้าลาวทักว่า อ้าวนั่น วนิดา ที่ออกทีวี ผมจึงเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือดารานี่เอง แหมเราเป็นคนไทยยังจำดาราไทยไม่ได้แต่คนลาวกลับจำได้แม่นกว่าเราอีก ผมกับโกเอกเดินเที่ยวกันจนเขาปิดตลาดและเริ่มเก็บร้าน จึงนั่งรถ จำโบ้ กลับมานั่งคุยกับโกสันต์ พี่หนึ่ง และคนอื่นๆที่หน้าโรงแรม พี่ๆบางคนก็เข้านอนแล้ว พอดึกๆอากาศเริ่มไม่เป็นใจเราก็แยกย้ายกันเข้านอน
24 พ.ย. 53 วันที่ 7 ของการเดินทาง วันนี้ไกด์นัดเรา 5,6,7 ตื่น ตี5 กินข้าว 6 โมง ล้อหมุน 7โมง เราต้องรีบเพราะเป้าหมายของเราคือ จ.หนองคาย ซึ่งอยู่ห่างจากหลวงพระบางประมาณ 400 กว่ากิโลเมตร และเราจะต้องขี่กลับในเส้นทางที่เราขี่มาทุกคนก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกว่าเหนื่อย แน่ๆ เราออกเดินทางได้ตามเวลาที่ตั้งไว้ไม่ต้องแวะเติมน้ำมันเพราะเราเติมเต็มถังกันไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวาน เราขี่รถออกมาในตอนเช้าอากาศก็ยังเย็นมากพอขึ้นเขาก็มีหมอกมากแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพวกเรา การเดินทางขากลับราบรื่นกว่าขาไปมาก ถนนก็ดีกว่าขาไปนิดหน่อย เราแวะพักเติมน้ำมันเป็นระยะๆ เวลา 10 โมงครึ่งเราได้จอดรถ ถ่ายรูปร่วมกันอีกครั้ง บริเวณจุดชมวิวบนเขา พร้อมกับการลิ้มลอง กาแฟลาว เสร็จแล้วเดินทางต่อและก็มาแวะพักกินข้าวเที่ยงที่วังเวียง ร้านเดิม แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ถนนจากวังเวียงมาเวียงจันทร์มีหลุมใหญ่ๆมากมาย ทำให้ท่าน ส.จ.บุญมา และพี่ๆอีกหลายคน ตกหลุมจนจุกไปเลย จนในเวลา 18.30 น.เราก็เดินทางมาถึงด่านเพื่อรอข้ามกลับมายังประเทศไทย เรามีเวลาแวะซื้อของในร้าน Duty Free นิดหน่อย เมื่อซื้อเสร็จ ก็ถือโอกาสนี้ ล่ำลา ตำรวจท่องเที่ยวและไกด์ผู้หญิงของลาวที่คอยดูแลเรามาตลอด และเขาบอกว่าขอให้กลับมาเที่ยวที่ลาวอีกนะ ผมก็บอกว่าถ้ามีโอกาสจะกลับไปอีกแต่จะไม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปหลวงพระบางอีกแล้ว ภาษาใต้บ้านเราเรียกว่า “หลาบ” ครับพี่น้อง และเราก็ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ทิ้งระยะทาง 800 กิโลเมตรแห่งความยากลำบากในการขี่รถในประเทศลาวไว้เบื้องหลัง กลับมากินข้าวและเข้าพักโรงแรมที่ จ.หนองคาย และก็ถือโอกาสนี้ล่ำลา ทีมงาน ไกด์จาก บริษัท TRANS ASIA ROUTE อีกครั้ง และระยะทางหลังจากนี้ก็ยกให้โกศักดิ์เป็นผู้นำขบวนเหมือนเดิม วันนี้พวกเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก กินข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันหายหมดเพราะเหนื่อย
25 พ.ย. 53 วันที่ 8 ของการเดินทาง… วันนี้พี่เล็ก Driver ของเราตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาล้างรถทุกคันในทีมโดยมี รปภ. ของโรงแรมเป็นลูกมือ สุดยอดจริงๆพี่เล็ก ต้องขอขอบคุณจากใจจริง วันนี้ถึงพี่เล็กจะตื่นเช้าแต่ผมก็ตื่นสายจนที่โรงแรมต้องโทรขึ้นไปปลุก พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็รีบลุกไปรับจนเดินเตะเตียงจนนิ้วเท้าบวมเดินขาเดี้ยงไป 2 วันเลย เราเดินทางออกจากหนองคายไปแวะกินข้าวที่ อ.โพนพิสัย บริเวณแถวๆ ที่เขาดูบั้งไปพญานาคนั่นแหละ แวะถ่ายรูปกันสักพักก็เดินทางต่อ วันนี้รู้สึกเหมือนขี่รถสบายมาก เพราะถนนเรียบ 4 เลนและรถน้อย ทำให้ได้มีโอกาส ถ่าย VDO ในตอนขี่กันหลาย ชอต ทีแรกว่าจะเดินทางไปอุบลราชธานี แต่ก็เปลี่ยนแผนเข้าพักที่ จ.มุกดาหาร เพราะเราไม่ได้รีบร้อนอะไรขี่กลับไปแบบเรื่อยๆ เข้าโรงแรมแล้วก็ไปกินข้าวกันที่ร้าน เปาบุ้นจิ้น เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามพอใจ ผมกับพี่สันต์ และบังเด่น ขี่รถเที่ยวรอบเมืองแวะที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชื่อร้านโนรี เป็นร้านที่ร้องเพลงแนว วัฒนธรรม นั่งฟังก็เพลินดี จนได้เวลาก็ขี่รถกลับมานอน
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2010, 06:20:47 PM โดย Keng CoffeeBikers »
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:41:16 PM »
26 พ.ย. 53 วันที่ 9 ของการเดินทาง…วันนี้ใจของพี่ๆในกลุ่มอยู่ที่ จ.ศรีสะเกษ เพราะอยากไปร้าน ตี๋เล็ก เราออกเดินทางโดยไม่รีรอส่วนพี่โอ่งแยกไปทำธุระที่ จ.ยโสธร และนัดเจอกับพวกเราอีกทีที่ ร้านตี๋เล็ก เราแวะกินข้าวเที่ยงที่ อุบลราชธานี ซึ่งที่นี่เราได้เจอกับพี่ใหญ่ เจ้าถิ่น ซึ่งพี่เขาก็อาสาขี่นำพวกเราไปส่งเราที่ ร้านตี๋เล็ก ต้องขอขอบคุณพี่ใหญ่มา ณ.โอกาสนี้ด้วยครับ เมื่อเราถึงถึงร้านตี๋เล็ก จ.ศรีสะเกษ พี่โอ่งก็ได้นั่งรออยู่แล้ว ผมก็คิดไว้ในใจอยู่แล้วว่ายังงัยคืนนี้ก็ต้องได้นอนที่ จ.ศรีสะเกษ เพราะพอไปถึงพี่ๆเขารุมกันซื้อของแต่งจากร้านตี๋เล็ก เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่กันเกือบทุกคัน รวมๆแล้วซื้อของกันสัก แสนกว่า ถึง สองแสนน่าจะได้เปลี่ยนกันจนค่ำยังไม่เสร็จ เริ่มหิวก็ออกไปหาข้าวกิน และหลังจากอิ่มแล้วก็เข้าพักที่โรงแรมแถวๆรางรถไฟที่อยู่ห่างออกไปจากร้านอาหารไม่ไกลโดยมีชาวสองล้อเจ้าถิ่นคอยดูแลและอำนวยความสะดวกอย่างใกล้ชิด ต้องขอขอบคุณในน้ำใจไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ ตอนดึกๆ ผม กับ อ.สมคิดและโกสันต์ แอบเดินข้ามรางรถไฟไปกินข้าวกันอีกรอบแล้วค่อยกลับมานอน
27 พ.ย. 53 วันที่ 10 ของการเดินทาง…เราตื่นนอนกินอาหารที่โรงแรมเสร็จก็เตรียมตัวเดินทางต่อเหมือนทุกวัน ซึ่งวันนี้ มีพี่แพะและตี๋เล็กมารอส่งเราด้วย เราออกจากโรงแรมแล้วไปแวะถ่ายรูปกันที่ร้านของพี่แพะ ไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้น ก็แวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท. และก็ต้องกล่าวคำขอบคุณและอำลา พี่แพะและตี๋เล็ก เพื่อเดินทางต่อมุ่งหน้า จ.ราชบุรี ผ่าน จ.สุรินทร์ , บุรีรัมย์ เมื่อถึงโคราช พี่หนึ่งก็ได้แยกจาก ขบวนออกไปทาง อ.ปักธงชัย เพื่อมุ่งหน้าไปเข้าร่วมงาน บางแสนไบค์วีค และเดินทางกลับชลบุรี ส่วนขบวนของเราก็เดินทางต่อ จนเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง พี่ตี๋แวะทำธุระที่ปั๊ม ปตท.แถวบริเวณ ถนนกาญจณาภิเษก วงแหวนตะวันตก ผมกับโกเอกก็แอบไปกินกาแฟก่อนเพราะเริ่มง่วงนอน พอสักพักก็เดินทางต่อไป จ.ราชบุรี หลังจากออกจากปั๊มได้สักพักรถเริ่มติด ตังแต่บริเวณถนนต่างระดับฉิมพลี จนไปถึงพุทธมลทลสาย 4 เลยทีเดียว ช่วงนี้ก็เลยขี่กันแบบตัวใครตัวมันไม่เป็นขบวน ซอกแซกกันตามช่องไปเรื่อยๆ ผมโชคดีที่หลุดจากรถติดออกมาได้ก่อน เลยแวะเติมน้ำมันแถวสาย 6 พอออกจากปั๊มรถก็ติดอีกรอบก็เลย ซอกแซกต่อพอหลุดมาได้ก็ถึงถนนเพชรเกษมพอดี ก็เลยจอดรอแถวนครชัยศรี พอดีพี่โอ่งโทรมาบอกว่าทุกคนกำลังตามมา ผมก็เลยนอนรออยู่ข้างถนน สักพักใหญ่ทุกคนก็มาถึงและก็เดินทางต่อเข้าไปยัง จ.ราชบุรี ในเวลาประมาณ 2 ทุ่ม แวะถามโรงแรมอยู่ที่หนึ่งปรากฏว่าโรงแรมเต็ม เราก็ตัดสินใจแวะกินข้าวกันก่อนค่อยหาที่พัก สักพักรถ Service ก็ตามมาและกินข้าวร่วมกัน เสร็จแล้วก็หาที่นอนจนในที่สุดเราก็ได้โรงแรมที่อยู่ชานเมือง ในห้องพักที่ผมพักเย็นทุกอย่างยกเว้นแอร์ และร้อนทุกอย่างยกเว้นเครื่องทำน้ำอุ่น ก็เลยทนๆนอนไปเพราะเหนื่อยมาก
28 พ.ย. 53 วันที่ 11 ของการเดินทาง…วันนี้เรามุ่งหน้าลงใต้ เป้าหมายที่วางไว้คือ จ.ชุมพร ประตูสู่ดินแดนแห่งสะตอ วันนี้เราออกเดินทางกันประมาณ 11 โมงเพราะรถที่ผมขี่เกิดสายพานหย่อนก็เลยต้องพึ่งทีม Service ให้ช่วยจัดการให้ พอเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปเติมน้ำมันปั๊ม ปตท. แถวๆปากท่อ แล้วก็มุ่งหน้าเดินทางผ่าน จ.เพชรบุรี แวะกินข้าวแกงที่ปั๊ม ปตท. ถนนบายพาสปราณบุรี และเดินทางเข้าสู่ จ.ประจวบฯ แวะกินกาแฟ เติมน้ำมันที่เขาโพธิ์ในเวลาประมาณ 16.30 น. เรากินเสร็จก็เดินทางต่อโดยใช้ความเร็วประมาณ 130-140 km./ hr และเดินทางถึงโรงแรมนานาบุรี จ.ชุมพรเวลา 17.45 น. วันนี้พี่เอ็กซ์ขี่รถมาจากภูเก็ตเพื่อมาหาเราที่ชุมพรและจะเดินทางกลับภูเก็ตพร้อมเราในวันรุ่งขึ้น แต่พอมาถึงแยกปฐมพรรถเกิดดับไปเฉยๆ ก็เลยเดือดร้อนถึงทีม Service ต้องออกไปยกรถกลับมาที่โรงแรม พอมาถึง อาจารย์สมคิดกับช่างรินทร์และพี่เอ็กซ์ ก็ทำการตรวจสอบทันที ปัญหาอยู่ที่ปั๊มติ๊ก ไม่ทำงานก็เลย ต้องไล่ดูระบบไฟทั้งหมด จนคนอื่นๆล่วงหน้าออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารกันหมดแล้ว ก็เลยคิดว่าจะทำต่อพรุ่งนี้ ผม,ช่างรินทร์,พี่เอ็กซ์,และอาจารย์สมคิด ก็เลยตามไปสมทบที่ร้านในภายหลังวันนี้เรามี Biker เจ้าถิ่นมาคอยต้อนรับดูแลกันอีกแล้ว อุ่นใจจริงๆ เสร็จแล้วก็มานั่งคุยกันต่อที่ชั้นล่างของโรงแรม ได้เวลาพอสมควรก็แยกย้ายกันเข้านอน
29 พ.ย. 53 วันที่ 12 ของการเดินทาง…ตื่นเช้ามาทุกคนก็เก็บของกินข้าวเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ ส่วนพี่เอ็กซ์,ช่างรินทร์,อาจารย์สมคิด ก็กำลังวุ่นวายกับรถของพี่เอ็กซ์ ต่อจากเมื่อคืน โดยมีโกศักดิ์ผู้ที่มีความชำนานเกี่ยวกับระบบไฟมาช่วยอีกแรง สักพักก็ตรวจพบสาเหตุว่า กล่องไม่จายไฟให้ปั๊มติ๊ก โกศักดิ์ก็เลยจัดการทำ บายพาส ระบบไฟให้เหมือนผ่าตัดหัวใจอะไรทำนองนั้น ซึ่งทำให้รถของพี่เอ็กซ์ สามารถพื้นคืนชีพได้อีกครั้ง เราทุกคนที่รอลุ้นอยู่ก็ดีใจ จัดการเบ็ดเสร็จแล้ว ก็ได้ออกเดินทางจากชุมพรเวลา 9 โมงกว่า ออกเดินทางมาได้สักพัก ฝนก็เริ่มตกลงมาทำให้เราต้องหยุดรถ รอฝนแถวๆ อ.หลังสวน โดยมีพี่ๆบางคนไม่กลัวเปียกขี่ฝ่าฝนล่วงหน้าไปก่อน พอฝนเริ่มเบาก็ขี่ต่อไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านเพื่อนเดินทาง จ.สุราษฎร์ ที่นี่ท้องฟ้าสดใสโกเอกเลยเอาที่เป่าลมมาเป่ารองเท้า ถุงเท้าจนแห้งสนิทกะว่าจะได้ขี่กลับภูเก็ตแบบสบายๆ แต่ไม่เป็นอย่างที่คาดเพราะหลังจากที่เราออกมาเติมน้ำมันได้แปบเดียวฝนก็ตกลงมาอีกทีนี้ตกหนักกว่าที่ชุมพรอีก ก็เลยเปียกกันทั่วหน้า เราค่อยๆขี่กันจนมาจอดพักรถที่ จ.พังงาในเวลา ประมาณ 4 โมงครึ่ง กินกาแฟและพูดคุยกันอยู่สักพัก ก็ออกเดินทางต่อจนถึง หน้าร้าน Coffee-BIKERS ในเวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง ด้วยความปลอดภัยครบทุกคน
การพิชิตหลวงพระบางเมืองมรดกโลกในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ อาจารย์สมคิด โกศักดิ์ โกโอ่ง ท่าน ส.จ. บุญมา โกตี๋ และพี่ๆทุกคนในกลุ่ม Coffee-BIKERS ที่ร่วมกันวางแผนการเดินทางการเตรียมความพร้อมและการประสานงานอย่างยอดเยี่ยมทำให้เราสามารถออกเดินทางและกลับมาถึงตามกำหนดการที่วางไว้ทุกอย่าง เราทุกคนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกัน กินด้วยกันนอนด้วยกัน ไปด้วยกันไม่ทอดทิ้งกัน ช่วยเหลือกันในทุกๆอย่าง แม้ว่ารถเราจะมีปัญหาหนักบ้างเบาบ้างตลอดการเดินทางของเราแต่พวกเราก็ได้ขี่รถไปและขี่กลับทุกคันไม่มีรถที่ต้องยกกลับ ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอขอบคุณและปรบมือให้ทีม ช่างและรถ Service ที่ประกอบด้วย พี่เล็กและช่างรินทร์ และอาจารย์สมคิด ที่คอยใส่ใจดูแลในรายละเอียดจัดเตรียมเครื่องมือและอะไหล่อย่างครบถ้วนจนทำให้พวกเราบรรลุเป้าหมายและกลับมาด้วยความสุขและหัวใจอันพองโตแบบ แฮปปี้เอนดิ้งเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าการพิชิตหลวงพระบางจะจบลงแล้วแต่มิตรภาพและความภูมิใจที่เราได้รับก็จะอยู่กับพวกเราทุกๆคนตลอดไป รอแค่ว่าเมื่อไร่อาจารย์สมคิดจะเป่านกหวีดเรียกรวมพลเพื่อไปพิชิตเป้าหมายอื่นอีกเท่านั้นเอง.......
ขอขอบคุณ Bikers และบุคคลอื่นๆทุกๆคนทั้งที่ได้เอ่ยนามและไม่ได้เอ่ยนาม ที่คอยช่วยเหลือดูแล ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจและติดตามการเดินทาง ของชาว Coffee-BIKERS เราตลอดเส้นทาง ถ้าจะมาภูเก็ตเมื่อไร่ก็บอกกันบ้างนะครับจะได้ตอบแทนกันบ้าง.....
รวมเวลา 12 วัน 11 คืน ระยะทาง 4,754 กิโลเมตร ค่าน้ำมัน(รถของผม) 8,800 บาท ไพบูลย์ อนันต์ตันติกุล (เก้ง) ผู้บันทึกการเดินทาง รูปการเดินทางกำลังรวบรวมอยู่นะครับเพราะอยู่ในกล้องของพี่ๆหลายคน แล้วยังงัยจะรีบเอามาโพสต์ให้ดูนะครับ Link ที่เกี่ยวข้อง http://hd-playground.com/smf/index.php/topic,26221.0.html
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2010, 06:10:21 PM โดย Keng CoffeeBikers »
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 10:09:54 PM »
thumbsup thumbsup สุดยอดครับ พักที่โรงแรมวังสวัสดิ์ที่เดียวกันเลย
|
บันทึกการเข้า
|
บันทึกการเข้า
แก่แต่สังขาร แต่สันดานยังวัยรุ่นอยู่
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 10:24:55 PM »
สุดยอดเลยครับ ภูเก็ต หลวงพระบาง thumbsup
|
บันทึกการเข้า
รักกันก็ต้องคอยเตือน อย่าปล่อยให้เพือนควบเร็วเกินไป
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 10:27:43 PM »
กลุ่ม Sliver Star Khonkaen ยินดีต้อนรับเสมอโอกาศหน้ามาเยือนคงใด้พูดคุยกันมากกว่านี้ pray pray
|
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 10:33:07 PM »
|
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 10:37:48 PM »
เวลาขี่รถไปหลวงพระบางท่องเอาไว้ในใจนะครับ 1.ขับด้านขวา เพราะขี่นานๆอาจจะลืมไปขับชิดซ้ายเวลารถสวนมาอาจงานเข้าได้ eyeopoping 2.ระวังหลุม มีเยอะและใหญ่มาก sick 3.ระวังลื่น ถ้าลื่นก็ตกเหวได้ครับ ambulance 4.เวลาเติมน้ำมันไม่ต้องบอกว่าเต็มถังนะครับเพราะคิดเงินยาก บอกไปเลยครับว่า 75000 กีบ = 300 บาท หรือ 100000 กีบ = 400 บาท จะง่ายกว่าครับ 5.แลกแบงค์ 100 บาท กับ 20 บาท ไปเยอะๆนะครับ แบงค์ พัน ใช้ยากเขาไม่ค่อยมีตังค์ทอน ครับ
ขอให้สนุกกับ หลวงพระบางครับ hug ignore
|
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 10:56:45 PM »
|
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 12:07:14 PM »
เวลาขี่รถไปหลวงพระบางท่องเอาไว้ในใจนะครับ 1.ขับด้านขวา เพราะขี่นานๆอาจจะลืมไปขับชิดซ้ายเวลารถสวนมาอาจงานเข้าได้ eyeopoping 2.ระวังหลุม มีเยอะและใหญ่มาก sick 3.ระวังลื่น ถ้าลื่นก็ตกเหวได้ครับ ambulance 4.เวลาเติมน้ำมันไม่ต้องบอกว่าเต็มถังนะครับเพราะคิดเงินยาก บอกไปเลยครับว่า 75000 กีบ = 300 บาท หรือ 100000 กีบ = 400 บาท จะง่ายกว่าครับ 5.แลกแบงค์ 100 บาท กับ 20 บาท ไปเยอะๆนะครับ แบงค์ พัน ใช้ยากเขาไม่ค่อยมีตังค์ทอน ครับ
ขอให้สนุกกับ หลวงพระบางครับ hug ignore
phonecall number1โทรไปให้ข้อมูลพรรคพวกแล้วคับ thumbsup
|
บันทึกการเข้า
แก่แต่สังขาร แต่สันดานยังวัยรุ่นอยู่
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 03:32:58 PM »
เวลาขี่รถไปหลวงพระบางท่องเอาไว้ในใจนะครับ 1.ขับด้านขวา เพราะขี่นานๆอาจจะลืมไปขับชิดซ้ายเวลารถสวนมาอาจงานเข้าได้ eyeopoping 2.ระวังหลุม มีเยอะและใหญ่มาก sick 3.ระวังลื่น ถ้าลื่นก็ตกเหวได้ครับ ambulance 4.เวลาเติมน้ำมันไม่ต้องบอกว่าเต็มถังนะครับเพราะคิดเงินยาก บอกไปเลยครับว่า 75000 กีบ = 300 บาท หรือ 100000 กีบ = 400 บาท จะง่ายกว่าครับ 5.แลกแบงค์ 100 บาท กับ 20 บาท ไปเยอะๆนะครับ แบงค์ พัน ใช้ยากเขาไม่ค่อยมีตังค์ทอน ครับ
ขอให้สนุกกับ หลวงพระบางครับ hug ignore
phonecall number1โทรไปให้ข้อมูลพรรคพวกแล้วคับ thumbsup
เพิ่มเติมข้อมูลให้พรรคพวกด้วยนะพี่ฉ่อง ว่าที่วังเวียง อัตราแลกเปลี่ยนเงินแปรปรวนมาก 800-1000บาทแลกได้2กีบเอง
|
บันทึกการเข้า
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 05:03:31 PM »
ยินดีด้วยครับโกเก้ง ทำลายสถิติ ตัวอักษรมากที่สุดในบอร์ด แต่รูปน้อยก็ที่สุดในบอร์ดเช่นกัน รอดูรูปสวยๆนะครับ nana nana nana
|
บันทึกการเข้า
<<<<<. ความมันส์ขั้นเทพ. >>>>> +++++ V ROD PHUKET CLUB +++++
|