นักบินที่เข้ามาบินเครื่องบิน C-130 ต้องมีพื้นฐานความรู้ด้านภาษาอังกฤษ เป็นอย่างดี เพราะตำรับตำราที่เป็นภาษาไทยหาอ่านไม่ค่อยได้ จากนั้นจะได้รับการปูพื้นฐานภาควิชาการ ความรู้เกี่ยวกับตัวเครื่องบิน แล้วจึงไปฝึกบินกับเครื่องฝึกบินจำลองในต่างประเทศ เมื่อกลับมาจึงมีโอกาสได้ขึ้นบินกับเครื่องบินจริง เป็นการฝึกการบังคับควบคุม เครื่องบินขึ้น-ลงในวงจรสนามบิน ฝึกใช้เครื่องช่วยเดินอากาศ ฝึกบินเดินทาง เมื่อผ่านขั้นนี้แล้ว จึงจะเป็นการฝึกบินทางยุทธวิธี เช่น การบินเดินทางด้วยระดับเพดานบินต่ำ การฝึกขึ้นลงในสนามบินที่มีความยาวจำกัด ฝึกการทิ้งนักโดดร่ม ทั้งในระดับต่ำและระดับความสูงสูงมาก ที่สำคัญคือการฝึกทิ้งสัมภาระ CDS นอกเหนือจากนี้ ยังมีการฝึกในการทำภารกิจพิเศษ เช่น การบินหมู่ การฝึกทิ้งสารเคมีหรือน้ำ เพื่อการดับไฟ และยังมีการฝึกร่วมผสม จากต่างเหล่าทัพ และกับกองทัพต่างประเทศ
กว่าที่กองทัพของเราจะได้นักบินรบที่มีความสามารถพร้อมในการปฏิบัติภารกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องประกอบด้วยการสร้างสมประสบการณ์หลายขั้นตอน ต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนาน และไม่มีเส้นทางลัดสู่ความเป็นมืออาชีพ นักบิน C-130ต้องใช้เวลา
2 หรือ 3 ปี ในโรงเรียนเตรียมทหาร
และ 4 หรือ 5 ปีในโรงเรียนนายเรืออากาศ
1 ปีในโรงเรียนการบิน
4 ปีในหน้าที่การเป็นนักบินที่สอง
อีก 3 ปีในหน้าที่นักบินที่หนึ่ง
และอีก 3 ปีในหน้าที่ครูการบิน
เมื่อนำตัวเลขทั้งหมดมารวมกันจะรวมเวลาได้เท่ากับ 8 + 4 + 6 = 18 ปี นั้นหมายถึงว่า เราต้องใช้ระยะเวลาถึง 18 ปี ในการที่จะสร้างนักบินที่มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจที่มีความเสี่ยงสูง มีความซับซ้อนและมีความกดดันรอบด้าน
ชีวิตนักบินพร้อมรบ
หากไม่นับรวมเอาช่วงเวลาของการเตรียมพื้นฐานออกไป นักบินจะมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในฝูงบิน ประมาณ 10 ปี เป็นชีวิตที่เด็กหนุ่มจะได้สนุกสนานและเรียนรู้ อีกทั้งเป็นวัยที่ต้องปกครองตัวเอง เรียนรู้ศาสตร์การบิน-การยุทธเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จและตัวเองมีชีวิตอยู่รอด มีเวลาสนุกสนานกับเพื่อนฝูงวัยเดียวกันอยู่บ้าง นักบินพร้อมรบนั้นมีกฎระเบียบใน”กรอบของเวลา”ที่ต้องถือปฏิบัติอยู่อย่างเคร่งครัด แต่ละวันทุกเช้าต้องตื่นมาให้ทันเข้าฟัง Morning Brief ก่อนบินก็แยกไปBrief ย่อย หลังบินก็กลับมาDebriefอีก หากบินดีกลับถึงบ้าน ก็สบายหน่อย พอมีเวลาพักผ่อน หากบินไม่ดีก็ต้องกลับมาอ่านหนังสือ แต่ไม่ว่าจะบินดีหรือไม่ดี ช่วงเวลาระหว่างThrottle & Bottle ต้องห่างกันอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ ทุกๆ 6 เดือนต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพและฝีมือบิน นั่นหมายความว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ต้องดำรงสภาพความพร้อมรบ นักบินจะมีวันที่สนุกสนานได้ไม่มากนัก เพราะหากผิดวินัยการบิน หรือตรวจสุขภาพไม่ผ่าน ย่อมถูกงดบิน งดรับเงินค่าปีก หากไม่มีความรู้ ไม่มีฝีมือ ก็ไม่มีใครอยากบินด้วย อาจต้องถูก Grounded ดังนั้น นักบินทหาร จึงต้องรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และใฝ่หาความรู้ทั่งในด้านการบินและศาสตร์ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การฝึกบินทางยุทธวิธีเป็นเรื่องอันตราย มีความเสี่ยง ตลอดเวลา ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน มีขั้นตอนซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องของความโก้เก๋หรือความเท่ห์แต่อย่างใด ภาพการประชาสัมพันธ์อาชีพนักบินที่เราเห็นอยู่บ่อยๆคือ ความองอาจ หยิ่งทะนง ควบคู่กับรายได้และความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากกว่าสาขาอาชีพอื่น แต่เบื้องหลัง ความเป็นกับความตายอยู่ห่างกันแค่พริบตาเดียว ถูกกดดันทั้งร่างกายและจิตใจนานนับสิบปี แต่ถ้าหากการประชาสัมพันธ์ นำความยากลำบากของนักบินออกไป ใครบ้างเล่า!!ที่อยากจะมาเป็นนักบินรบ เพราะเวลาแต่ละนาทีในการฝึกบิน แต่ละวันในโรงเรียนการบิน แต่ละปีในโรงเรียนนายเรืออากาศ มันช่างเนินนานกว่าเวลาของคนปกติเป็นไหนๆ
มีอาชีพใดบ้าง ? ที่ต้องเปลือยทั้งกายและใจใ ห้คนอื่นตรวจสอบ ทดสอบ อยู่เป็นประจำทุก 6 เดือน!
การเป็นนักบินลำเลียงทางทหารนั้นมีเนื้อหาสาระที่แตกต่างจากนักบินพาณิชย์ คือ นักบินทหารส่วนใหญ่มีช่วงวัยทำงานอยู่ระหว่าง 24-36 ปี เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง หู ตา ประสาทสัมผัสยังดี สามารถทนต่อการบินในท่าทางที่รุ่นแรงได้ และเป็นช่วงวัยที่นักบินหนุ่มมีความหาญห้าว (Aggressive) และอยากเอาชนะศัตรู อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นว่า การบินทางทหารนั้นแตกต่างจากการบินเครื่องบินพาณิชย์ก็คือ การบินทางยุทธวิธีนั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัว การฝึกบินตามกระบวนท่า (Pattern) หรือ Training Rule นั้น ถูกกำหนดไว้เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยในการฝึกเท่านั้น มิใช่หนทางที่ทำให้เอาชนะศัตรูได้ การบินทางทหารจึงมีสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้เสมอ
ส่วนการบินเชิงพาณิชย์นั้น แม้จะไม่ต้องเผชิญกับท่าทางการบินที่รุนแรง ผู้รักการบินสามารถบินจนอายุ 60ปีหรือกว่านั้น แต่จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กฎหมายต่างๆอย่างเคร่งครัด นักบินพาณิชย์สามารถที่จะโปรแกรมวางแผนการบินไว้ล่วงหน้าได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และต้องคอยติดตามข่าวสารการบิน และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นการปฏิบัติที่มีแบบแผนแน่นอน และมักจะไม่ค่อยมีอะไรนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นมากนัก เพียงแต่ต้องทนนั่งอึดอัดอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ อดนอนบ้าง
ในส่วนของนักบิน C-130 นั้นระหว่างที่อยู่ในฝูงบิน 601 นอกจากจะต้องได้รับการฝึกบินทางยุทธวิธีให้เกิดความชำนาญแล้ว ยังจะได้รับการพอกพูนความรู้อื่นๆให้เกิดวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น จากหลักสูตรหรือโรงเรียนต่างๆในกองทัพ อาทิ การรบร่วม กิจการนิรภัย การยุทธการ โรงเรียนผู้บังคับฝูงบิน และโรงเรียนเสนาธิการเหล่าทัพ เป็นต้น บางคนขยันหน่อย อาจขนขวายไปเรียนปริญญาโทต่อ ในมหาวิทยาลัยอื่นๆ
