1. การบินไทย...รักโบนัสเท่าฟ้า
วิกฤติ เศรษฐกิจโลกได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการบินต่างๆไปทั่วโลก สายการบินน้อยใหญ่ต่างดิ้นรนประคับประคองธุรกิจกันสุดลิ่ม บ้างต้องลอยแพปลดพนักงาน ต้องหั่นรายได้สวัสดิการตนเองลง ที่ไม่สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ก็ต้องปิดตัวเองลงไป
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ไม่เพียงจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติ เศรษฐกิจโลกยังได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเมืองภายในประเทศจากการปิดสนามบิน สุวรรณภูมิปลายปีก่อน ที่ยังผลให้ผู้โดยสาร นักท่องเที่ยวหนีตายกลับประเทศ
ผล กระทบด้านท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้ผลประกอบการของการบินไทยตกต่ำขาด ทุนบักโกรกในไตรมาสแรกของปี 52 ไปกว่า 19,000 ล้านบาทจนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงต้องบากหน้าขอกู้เงินจากธนาคาร และต้องจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการครั้งใหญ่ ทำแผนปรับลดรายจ่ายรัดเข็มขัดกันเอวกิ่ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่การบินไทยจำเป็นต้องรัดเข็มขัดปรับลดรายจ่ายด้านต่างๆลงเพื่อประคับ ประคองธุรกิจ แต่สหภาพรัฐวิสาหกิจการบินไทยกลับยังคงเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารและคณะกรรมการ บริษัทการบินไทยพิจารณาจ่ายโบนัสและปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานกันหน้าตาเฉย ทั้งที่สถานะของบริษัทแทบ "ล้มละลาย" อยู่แล้ว
ช่างสมกับฉายา "การบินไทย รักโบนัสเท่าฟ้า" จริงๆ!
2. ทอท...ฉาวทั้งปีมีกรีดกระเป๋าแถม
จัด อันดับรัฐวิสาหกิจอื้อฉาวที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ซุกใต้พรมเมื่อใด บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้องขอเกาะขบวนติดอยู่ในอันดับต้นๆทุกเที่ยวไป
ตั้งแต่เริ่มก่อ สร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่มีมูลค่าลงทุนกว่า 140,000 ล้านบาท ก็เริ่มส่งกลิ่นโชยคละคลุ้งท่วมองค์กร ไล่ดะมาตั้งแต่ออกแบบก่อสร้าง ถมทราย รันเวย์ แท็กซี่เวย์ อาคารผู้โดยสาร สะพานเชื่อมต่อ สายพานลำเลียง หลังคาผ้าใบสุดไฮเทค ไปจนถึงเครื่องตรวจสอบวัตถุ ระเบิด "ซีทีเอ็กซ์"
เบ็ดเสร็จกว่า 20 เรื่อง ไม่มีโครงการไหนทำลายสถิติได้อีกแล้วชาตินี้!
แม้ จะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์มากว่า 3 ปี แต่ก็ยังคงความอื้อฉาวไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งปัญหา "ไกด์ผี-แท็กซี่เถื่อน" ที่ถูกประจานออกไปทั่วโลก ล่าสุดเมื่อกลางปี 52 ก็กระฉ่อนโลกอีกครั้งหลังถูกสำนักข่าวต่างประเทศออกคำเตือนให้ระวังแก๊งตบ ทรัพย์ในร้านดิวตี้ฟรีกลางสนามบินจนรัฐบาลต้องสั่งให้ตั้ง สน.ย่อยในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขึ้นมาแก้ปัญหาโดยเฉพาะ
หมดจากแก๊งตบ ทรัพย์ผู้โดยสาร ก็ดันมีแก๊งกรีดกระเป๋าฉกทรัพย์ผู้โดยสาร ที่คราวนี้แฝงตัว เข้ามาทำมาหากินผ่านบริการทอง "กราวด์เซอร์วิส" ที่วันดีคืนดีก็หยุดงานประท้วงแถมให้อีก
เล่นเอา "ปิยะพันธ์ จัมปาสุต" ประธานบอร์ด ทอท. แก่ไปจมหู!
3. ขสมก. ...เมล์เอ็นจีวีเบรกแตก!
เป็น หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่อนุรักษ์ของเก่าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ถึงขนาดมี ส.ว. (สูงวัย) แซวเอาว่านั่งรถเมล์และรถไฟไทยกี่ครั้งๆ ก็ยังรู้สึกหนุ่มแน่นตลอด เพราะ 30-40 ปีที่แล้วสภาพ รถเมล์เป็นอย่างไร วันนี้ก็ยังคงอนุรักษ์สภาพบุโรทั่งและบริการสุดห่วยแตกเอาไว้อย่างนั้น!
ด้วย ภาระหนี้ท่วมองค์กรกว่า 67,325 ล้าน เพราะต้องแบกภาระต้นทุนการเดินรถที่สูงกว่าอัตราค่าโดยสารที่จัดเก็บจริง จึงทำให้ ขสมก.ไม่สามารถจะกระดิกตัวทำอะไรได้ จะจับใส่ตะกร้าล้างน้ำก็ถูกต่อต้าน เลยต้องปล่อยเลยตามเลยไปตามยถากรรมกันจนวันนี้!
แม้ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ในสังกัดพรรคภูมิใจไทยจะหาญกล้าขอผ่าตัดใหญ่ ขสมก.ด้วยการจัดทำแผนซิ่ง "รถเมล์เอ็นจีวี" 4,000 คัน ด้วยงบประมาณลงทุนกว่า 64,858 ล้านบาท ด้วยคาดหวังจะให้เป็นผลงานสุดอลังการของพรรคที่จะให้คนกรุงผู้มีรายได้น้อย ได้นั่งรถเมล์แอร์เย็นฉ่ำ พร้อมพลิกสถานะของ ขสมก.ให้ฟื้นคืนชีพกลับมามีกำไรใน 10 ปี
แต่นโยบายปฏิรูป ขสมก.ข้างต้นก็ถูกพรรคร่วมรัฐบาลเจาะลมยางทุกเที่ยวไป เพราะไม่ว่าจะพยายามนำเสนอ ครม.กี่เที่ยวๆ ก็จอดป้ายสะดุดตอทุกเที่ยวไปด้วยข้อหาสารพัดความไม่โปร่งใส ล่าสุดยังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. "ตีปลาหน้าไซ" ว่าโครงการนี้เอื้อต่อการทุจริต แถม ครม. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ปลื้ม
เห็นทีชาตินี้จะกอดรางวัลรัฐวิสาหกิจยอดแย่ไปตลอด
4. ทีโอที "ไทเกอร์สลีปอีท" โดยแท้
ฉายา "ไทเกอร์ สลีป อีท" เสือนอนกินที่ให้กับบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) คงไม่ไกลเกินจริง เพราะแม้ยุคสมัยจะปรับเปลี่ยนหมุนเวียนไปถึงไหนกันแล้ว แต่บริษัททีโอทีก็ยังคงอนุรักษ์ ความเป็น "เสือนอนกิน" เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ยังคงหากินอยู่กับค่าสัมปทาน
ดูได้จากผล ประกอบการรายเดือนและรายปี ขนาดได้ค่าสัมปทานจากบริษัทสื่อสารปีละร่วม 20,000-25,000 ล้าน ผลประกอบการโดยรวมก็ยังหมิ่นเหม่จะขาดทุนบักโกรกเอาทุกเมื่อ
บทที่ คิดจะลุกขึ้นมาลงทุนเพื่อก้าวเข้าสู่ยุค 3 จีหนีคู่แข่ง ก็หกคะเมนตีลังกาไม่เป็นท่า เพราะ หลังได้อนุมัติคลื่นมือถือย่าน 1900 เมกะเฮิรตซ์ที่สามารถอัพเกรดไปเป็นระบบ 3 จีได้ก็ดันไปทุ่มลงทุนในคลื่น 1900 ไทยโมบายซะ ล้มเหลวไม่เป็นท่าทำท่ากลายเป็น "ไทยบ๊ายบาย" ไปซะงั้น
บท จะปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบ 3 จีเต็มสูบที่ต้องลงทุนอีกกว่า 29,000 ล้าน เพื่อให้มีสถานีฐาน ครอบคลุมทั่วประเทศ แม้จะปรับลดวงเงินลงทุนลงมาเหลือแค่ 20,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็ถูก ครม. กระตุกเบรกหัวทิ่มจะให้รอเงื่อนไขการประมูลคลื่น 3 จีของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) เสียก่อน
ล่าสุด แม้ทีโอทีจะเปิดให้บริการมือถือ 3 จีไปก่อนใคร เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็เป็น ไปอย่างทุลักทุเล เพราะเครือข่ายที่จะให้บริการยังไม่ได้อนุมัติลงทุน แถมระบบบิลลิ่งยังมาล่มให้ ขายหน้าเสียอีก
ช่างสมกับรัฐวิสาหกิจที่ถนัดแต่ "ไทเกอร์ สลีป อีท" โดยแท้!
5. กสท โทรคมนาคม..คู่ขวัญ "ไทเกอร์"
คู่ "ขวัญข้าว-ขวัญแพง" ทีโอทีเลยล่ะ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่ในอดีตเคยรุ่งเรืองสุดขีด เพราะผูกขาดการให้บริการโทรต่างประเทศเพียงรายเดียว แต่หลังคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) แจกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมสามารถให้บริการโทรต่างประเทศได้โดยตรง ก็ทำเอาสถานการณ์ กสท ทรุดฮวบลงทันตา
แม้จะมีรายได้จากสัญญาสัมปทาน ใต้ชายคาปีละกว่า 10,000 ล้านบาท ที่ทำให้องค์กรยังคง อู้ฟู่สามารถจ่ายโบนัสให้พนักงานได้เกือบ 4 เท่า แต่หากคิดรายได้โอปอเรชั่นที่แท้จริงของ กสท เองนั้น วันนี้ติดลบไปกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว
ที่ทำเอาชาวบ้านร้านรวงเอือมระอาก็เห็นจะเป็น บริการมือถือ 3 จีในระบบซีดีเอ็มเอที่ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นมือถือระบบ 3 จีที่ทุกฝ่ายกำลังถวิลหา เพราะนำร่องเปิดให้บริการมากว่า 3 ปี เข้าไปแล้วตั้งแต่ปี 49 แต่จนวันนี้กลับยังบ้อท่า เพราะมัวฟัดกับสัมปทานใต้ชายคาตัวเองที่ให้บริษัทฮัทช์ช่วยทำตลาดให้ก่อน หน้า
ส่วนการบริหารจัดการภายในองค์กรนั้น ก็มีสภาพไม่ต่างไปจากคู่ขวัญข้าว-ขวัญแพงนั่นแหละ จัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมแต่ละทีมีแต่เรื่องอื้อฉาวงานเข้ามัน ได้ซะทุกเรื่อง ต้องล้มประมูลซ้ำแล้วซ้ำอีก
ช่างสมกับฉายาคู่ขวัญ "ไทเกอร์ สลีป อีท" อีกหน่วยงานจริงๆ!
6. กฟน.-กปน.รวยปลิ้นดีแท้
เป็น 2 รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่ "รวยปลิ้น" แล้วยังไม่พอยังมีหน้ามั่วนิ่ม ขอค่าครองชีพเพิ่มที่ทำให้แรงงานทั่วไทยชีช้ำจะมีใครอื่น ถ้าไม่ใช่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการประปานครหลวง (กปน.)
หลัง จากรัฐบาลและกระทรวงแรงงานแจกอั่งเปา "เช็คช่วยชาติ" ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แรงงานผู้มีรายได้น้อยที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท เพื่อบรรเทาปัญหาภาระค่าครองชีพและ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 สหภาพรัฐวิสาหกิจ กฟน.และ กปน.ก็ไม่ยอมน้อยหน้าดอดร่วมวงศ์ไพบูลย์ขอแจมเช็คช่วยชาติ (ให้ล่มจม) ด้วยการเรียกร้องให้ต้นสังกัดจ่ายเงินค่าครองชีพให้คนละ 2,000 บาทเป็นระยะเวลา 1 ปี ให้แก่พนักงานลูกจ้างที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท อุแม่เจ้า!
รัฐบาลเขาจ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทให้งวดเดียวครั้งเดียว แต่ 2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจกลับ รุกคืบขอเช็คช่วยชาติ (ให้ล่มจม) กันถึง 1 ปี หรืออย่างน้อยก็ต้อง 6 เดือน
แม้คณะรัฐมนตรีจะกระตุกเบรกแต่ในท้ายที่สุด ครม.เมื่อ 31 ส.ค.52 ก็อนุมัติให้จ่ายค่าครองชีพให้แก่พนักงานและผู้ปฏิบัติงานใน 2 รัฐวิสาหกิจที่มีรายได้น้อยต่ำกว่า 15,000 บาท เป็นเวลา 6 เดือน ก่อนจะไฟเขียวให้รัฐวิสาหกิจอื่นๆได้พิจารณาอนุมัติตามมา
ช่างสมกับความเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกฯได้ดีแท้!
7. มรดกบาป "อีลิทการ์ด"
ถูก ตราหน้าว่าเป็นผลงาน "อดสู" ที่บุคคลในพรรคประชาธิปัตย์นำไปเยาะเย้ยถากถาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะต้นคิดที่ให้มีการจัดตั้งบริษัทไทยแลนด์พริวิเลจคาร์ด จำกัด (ทีพีซี) ผู้จำหน่ายบัตรสมาชิกพิเศษอีลิทการ์ดใบละ 1 ล้านบาท ที่เจาะจงขายให้ต่างชาติได้เข้ามาท่องเที่ยวในไทยโดยตั้งเป้าขายไว้ถึง 1 ล้านใบ และคาดทำรายได้เข้าประเทศถึง 1 ล้านล้านบาท!
แต่บัดนี้ บริษัททีพีซี รัฐวิสาหกิจที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ถือหุ้น 100% ภายใต้ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท กำลังถูกจับใส่ตะกร้าล้างน้ำเตรียมขายทิ้งให้เอกชน
ขณะที่อนาคตของ บริษัทต้องดับวูบเมื่อผลงานของบริษัทสุดโหลยโท่ยติดขัดไปหมดทุกเรื่องทั้ง จากการดำเนินงานภายในและจากผลกระทบทางการเมืองจนถึงปัจจุบันเพิ่งมีสมาชิก เพียง 2,569 รายเท่านั้น มียอดขาดทุนสะสม 1,427.88 ล้านบาท และมีเงินสดคงเหลือในมือ 338.77 ล้านบาทเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ภาครัฐมีความพยายามที่จะปรับแผนธุรกิจใหม่ให้อีลิทการ์ดฟื้นจากหลุม โดยลด เป้าหมายสมาชิกเหลือ 20,000 คน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือจริงจัง ฝ่ายการเมืองที่ส่งบอร์ดใหม่เข้าไปบริหารก็ปู้ยี่ปู้ยำองค์กรนี้ซะเละตุ้ม เป๊ะไปเสียก่อน
สุดท้ายรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ปกติก็ไม่ประสีประสากับการบริหารงานอยู่แล้วจึงตัดสินใจขายทิ้งและยุบ ทิ้งกิจการ แต่หากจับใส่ตะกร้าล้างน้ำยังขายไม่ออก เห็นที ททท.จะต้อง รับมรดกบาปนี้ต่อไป!
8. กนอ.ลอยตัวเหนือปัญหา
เป็น อีกรัฐวิสาหกิจยอดแย่ที่สมควรถูก "ยุบทิ้ง" ที่สุดในรอบปี เพราะผลงานการบริหารของประสาน ตันประเสริฐ ประธานบอร์ดการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และ มณฑา ประณุทนรพาล ผู้ว่าการ กนอ. ที่ยังผลให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ "ช็อกตาตั้ง" กันไปทั่วโลก
กับผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นไม่ต้องพูดถึง เฉพาะ 65 โครงการที่ถูกศาลปกครองสูงสุดระงับการดำเนินการใดๆเอาไว้ก็มากกว่า 250,000 ล้านบาท และคาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะยาวอีกกว่า 600,000 ล้าน แต่ทั้งบอร์ดและฝ่ายบริหาร กนอ.กลับไม่รู้สึกรู้สา หรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ นอกจากลอยตัวเหนือปัญหา
ย้อนรอยไปเมื่อ ครั้งเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. เมื่อเดือน ม.ค.52 ผู้ว่าการ กนอ.ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะไม่เน้นขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม แต่จะเน้นในเรื่องธรรมาภิบาลและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และจะไม่ยอมให้โรงงานอุตสาหกรรมแห่งใดปล่อยมลพิษ
แต่รอบปีที่ผ่านมา สาธารณชนกลับเห็นมีแต่ข่าวโรงงานในนิคมฯมาบตาพุดปล่อยมลพิษออก สู่ชุมชน แม้กระทั่งล่าสุดเมื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ก็ยังคงมีการปล่อยแก๊สพิษที่ทำเอาชาวบ้านร้านรวงถูกหามส่งโรงพยาบาลกันร่วม ร้อย แต่จนป่านนี้ กนอ.ที่อ้างว่ามีระบบเฝ้าระวังปัญหามลพิษสุดไฮเทคก็ยังควานหาต้นตอไม่เจอ
สมควรจะ "ยุบทิ้ง" หรือฝังไปซะให้รู้แล้วรู้แรดทั้งองค์กรไหมพี่น้อง!
9. รั้งบ๊วยรัฐวิสาหกิจต้องการรถไฟ
หาก เปรียบกิจการรถไฟไทยเป็นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกแล้ว ก็เหมือนสโมสรที่อยู่ในอันดับรั้งท้ายสุดของตารางแล้วในเวลานี้ รอแต่ว่าจะถูกเขี่ยถูกยุบไปเมื่อไหร่เท่านั้น
ตลอดปี 2552 และในช่วง 10 ปีก่อนหน้า การรถไฟนี้ยังคงสร้างความเบื่อหน่าย เอือมระอาให้กับผู้คนได้ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งปัญหาความขัดแย้งภายใน อุบัติเหตุรายวัน เดี๋ยวตกราง เดี๋ยวชน เดี๋ยวหยุดให้บริการ ยิ่งประเภทไม่ถึงก็ช่างนั้นกลายเป็นภาพความชาชินของผู้โดยสารไปแล้ว!
แต่ ที่สร้างความเอือมระอาจนประชาชนอยากจะให้ยุบทิ้งหน่วยงานนี้วันละ 3 เวลาหลังอาหารก็คือเอะอะก็สไตรก์ ไม่พอใจฝ่ายการเมืองฝ่ายบริหารก็ประท้วง จับเอาประชาชนคนไทยเป็นตัวประกัน มันได้ทุกเมื่อ
โดยในรอบปี 52 ที่ผ่านมา การรถไฟมีการหยุดเดินรถประท้วงอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22-23 มิ.ย.52 ยังความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 28 ส.ค.-13 ก.ย. ความ เสียหาย 155.69 ล้านบาท และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16-28 ต.ค.52 เสียหายไปอีกกว่า 80.5 ล้านบาท
แต่ละครั้งที่นัดหยุดงานก็อ้างผลประโยชน์ประชาชน แต่เบื้องหลังทุกฝ่ายต่างรู้ "กำพืด" กันดีว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง
อยากจะอนุรักษ์ความ "กักขฬะ" พิกลพิการและบริการถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างเอาไว้เท่านั้น!
ทั้งหมดคือรัฐวิสาหกิจยอดแย่แห่งปีที่ประชาชนคนไทยคงอยากให้ฝังไปกับปี 2552 นี้.
ทีมเศรษฐกิจ