Login

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Indian Motorcycle

หน้า: [1]
1
“เบิร์ต มันโร” เกิดความหลงใหลเสน่ห์ของรถจักรยานยนต์มาตั้งแต่อายยุยังน้อย เมื่อเติบโตขึ้น
ความสนใจของเขาก็ยิ่งหยั่งรากลึกและพัฒนาเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากจะรักการขับขี่สองล้อแล้ว
เขายังทำทั้งการศึกษากลไกการทำงาน ดัดแปลงและสร้างชิ้นส่วนอะไหล่หลายอย่างที่ใช้ในตัวรถ
ตลอดจนทำการทดสอบประสิทธิภาพของสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ด้วยตัวเอง
 

 
ความสำเร็จของ “เบิร์ต” ที่สร้างไว้มากมายในอดีตถูกส่งถ่ายมาสู่เหล่านักบิดรุ่นหลังให้ได้จดจำมาถึงทุกวันนี้
จากความคลั่งไคล้ของเขาก่อให้เกิดการดัดแปลงอเมริกันครุยเซอร์ Indian Scout ในรุ่นปี 1920 ให้มีความเร็วที่มากยิ่งขึ้น
โดยเขาเดินทางข้ามทวีปจากประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อไปร่วมงานแข่งระดับโลกที่บอนเนวิลล์ซอล์ตแฟลตส์
ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำตามความฝันและพิสูจน์ความสามารถ
 
เบิร์ต มันโร ผู้เปิดตำนานสุดอมตะ Indian Scout
เริ่มครั้งแรกในปี 1962 “เบิร์ต” สร้างสถิติโลกด้วยความเร็วไว้ที่ 288 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 850 ซีซี
 ต่อมาในปี 1966 “เบิร์ต” สามารถพิชิตความเร็ว 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 920 ซีซี
และอีกครั้งในปี 1967 เขายังคงจารึกเป็นสถิติความเร็วโลกกับการขับขี่ “Indian Scout” อีกครั้งและยังเป็นสถิติอมตะ
ถึงทุกวันนี้ ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 950 ซีซี ทำความเร็วได้ถึง 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 

 
นอกจากนี้ “เบิร์ต” ยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้ทุกคนได้จดจำเพิ่มเติม โดยในรอบควอลิฟาย เขาสร้างสถิติระหว่างวิ่งบนทาง
วันเวย์ไว้ที่ประมาณ 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นับเป็นความเร็วสูงสุดที่มอเตอร์ไซค์ Indian ทำได้
เท่าที่เคยมีการบันทึกอย่างเป็นทางการ
 
ในช่วงหนึ่งของชีวิต “เบิร์ต มันโร” เฮอร์เบิร์ต เจมส์ มันโร ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The World’s Fastest
Indian” ในปี 2005 (นำแสดงโดย Anthony Hopkins) จนสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมและคนรักสองล้อทั่วโลก
โดยเฉพาะประโยคสั้นๆ ที่นักบิดระดับตำนานเคยกล่าวไว้ว่า
“อยู่บนอานมอเตอร์ไซค์ 5 นาที ยังมันกว่าอยู่อย่างจืดชืดไปตลอดชีวิต” *
 
*หมายเหตุ-ข้อมูลและภาพจาก wikipedia และ The World’s Fastest Indian by Roger Donaldson
 

 
        3 จุดเด่น Indian Scout 2015 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักขับขี่

มาถึงวันนี้ Indian Scout กลับมาพร้อมโมเดลใหม่ในเวอร์ชันปี 2015 โดยเปิดตัวทำตลาดเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ณ ประเทศสหรับอเมริกา ด้วยแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ อาทิ
เครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ใช้เฟรมผลิตจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบาและออกแบบโครงสร้าง 3 ชิ้น
นอกจากคงเอกลักษณ์คลาสสิคในตัวตนไว้อย่างครบถ้วนแล้ว ยังช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของรถประหยัดค่าใช้จ่าย
หากเกิดอุบัติเหตุกับตัวรถ สามารถเลือกเปลี่ยนอะไหล่บนตัวถังรถได้เฉพาะจุด
 
ด้วยจุดเด่น 3 ประการของ Indian Scout รุ่นปี 2015 ซึ่งนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทแม่ โพลาริส อินดัสทรีส์
(Polaris Industries) ประเทศสหรัฐอเมริกา วางแนวทางไว้ คือ น้ำหนักเบา จุดศูนย์ถ่วงเบาะนั่งต่ำ และโดยเฉพาะ
การควบคุมขับขี่ที่คล่องตัว ซึ่งถือได้ว่าดีที่สุดในกลุ่มรถครุยเซอร์ในระดับเดียวกัน ส่งผลให้ Indian Scout 2015
เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ขับขี่ได้อย่างหลากหลาย
 

 
จุดลงตัวของความคลาสสิคและความทันสมัย
พลันที่บิดกุญสตาร์ตเครื่องยนต์ เสียงคำรามของเครื่องแม้จะไม่ดังกึกก้อง แต่เร้าอารมณ์ชวนให้อยากจะขับทะยานไป
ตามถนนชนบท ที่โอบล้อมด้วยขุนเขาที่มีทั้งทางโค้งสลับวิวทิวทัศน์อันงดงามทางธรรมชาติ ใกล้เมืองโอ๊คแลนด์
(เกาะตอนเหนือ) ประเทศนิวซีแลนด์ นับเป็นเส้นทางที่ท้าทายความสามารถของผู้ขับขี่ และสมรรถนะของรถได้เป็นอย่างดี
 
ขณะที่หน้าปัดเรือนไมล์แสดงสถานะต่างๆ ทรงกลมขอบชุมโครเมียมเงาวับ ด้านในบอกรายละเอียดความเร็วแบบอนาล็อก
หน่วยเป็นกิโลเมตรหรือไมล์ ไฟแสดงตำแหน่งเกียร์ว่าง ไฟเตือนระดับน้ำมันเชื้อเพลิง (ไม่มีเกจแสดงระดับน้ำมัน) ไฟสูง
ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ABS และไฟเตือนระบบการทำงานเครื่องยนต์
 
บริเวณตรงกลางหน้าจอสี่เหลี่ยมสามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆ แบบดิจิตอล ประกอบด้วยระยะทางรวม
ทริปวัดระยะการเดินทาง อุณหภูมิเครื่องยนต์ รอบเครื่องยนต์ (RPM) และเมื่อกดเลื่อนจากตำแหน่งไฟขอทางหรือ Pass
ที่แฮนด์ฝั่งซ้าย (ไฟ Pass ไม่มี) โดยเลือกดูได้เพียงอย่างเดียว ส่วนนาฬิกาจะแสดงผลตลอดเวลา
ขณะที่ปุ่มควบคุมบนแฮนด์ทั้งสองข้าง ขวามีสวิตซ์ออฟรันและปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้านซ้ายมีไฟเลี้ยว ไฟสูง-ต่ำ
แตร ไฟฉุกเฉิน และปุ่มเลือกดูค่าต่างๆ ในตำแหน่งไฟขอทาง
 

 
สมรรถนะตอบโจทย์ชาวไบค์เกอร์
Indian Scout รุ่นปี 2015 ถึงจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ล่าสุดก็ตาม แต่ให้ความรู้สึกสบาย และใช้เวลาไม่นานนัก
ก็สามารถในการปรับตัวเข้ากับรถได้ ในส่วนของท่านั่งตำแหน่งแฮนด์ร่วมถึงที่พักเท้า หากเป็นคนตัวเล็กไซส์เอเชีย
อาจต้องเอื้อมหรือขยับจัดท่านั่งนิดหน่อย ขณะที่เบาะนั่งนุ่มสบายแต่ไม่นิ่มจนรู้สึกยวบ ตัวเบาะออกแบบให้มีส่วนเว้า
เป็นพนักพิงสามารถรองรับบั้นท้ายได้กระชับ และจากท่านั่งที่ผู้ขับขี่ต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
เมื่อรวมกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำและตัวรถน้ำหนักเบา ทำให้มั่นใจต่อการควบคุมตัวรถได้อย่างคล่องตัว
 
                จากสภาพถนนที่เต็มไปด้วยทางลาดชันสลับทางโค้งสั้นๆ และทางโค้งยาวๆ ทำให้สัมผัสกับประสิทธิภาพ
ของระบบช่วงล่างและการยึดเกาะ ซึ่งให้ผลลัพท์ที่น่าประทับใจจากระยะฐานล้อยาวมีความมั่นคงและเสถียรภาพ
ในการเข้าโค้ง ส่วนการทำงานของช๊อคอัพด้านหน้าและด้านหลังถูกเซตมาให้เน้นนั่งสบาย
ซึ่งช่วยซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
 

 
                ขับขี่คล่องขุมพลังโดดเด่น
เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ 2 สูบแบบ V-twin ขนาด 1,130 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด
ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 8,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 97.7 นิวตัน-เมตร ที่ 5,900 รอบต่อนาที
จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ปรับการฉีดแบบควบคุมส่วนผสมอัตโนมัติหรือ Closed Loop
ให้การตอบสนองของอัตราเร่งดีเยี่ยม นับเป็นครุยเซอร์ที่แฝงสมรรถนะแบบสปอร์ต
 
ระบบเบรกก็เช่นกัน แรงดึงของเอ็นจิ้นเบรกให้ประสิทธิภาพดีเยี่ยม ส่วนการทำงานของ ABS ให้ผลลัพท์ที่ดีไม่แตกต่างกัน
ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของสมรรถนะขุมพลังและสมรรถนะการขับขี่ ผนวกร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับดีไซน์คลาสสิค
และตำนานอันลือชื่อของ “Indian Scout” ที่สร้างความน่าจดจำมาถึงทุกวันนี้
บริษัท อินเดียน-วิคตอรี่ มอเตอร์ไซค์เคิล จำกัด พร้อมแล้วที่จะสืบสานความยิ่งใหญ่ระดับตำนาน
เพื่อส่งมอบคุณค่าที่เหนือความคาดหมายและไลฟ์สไตล์ของการขับขี่ของผู้มีระดับกับ “Indian Scout” รุ่นปี 2015
ภายในต้นเดือนธันวาคม 2557 นี้ แน่นอน
 

 
สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานสากล “อินเดียน-วิคตอรี่” ซอยพัฒนาการ 76 หรือที่เว็บไซต์  www.indianmotorcyclethailand.com หรือ โทร.+66-2722 -0990
 


2
Indian Talk / Indian เล็งตั้งฐานการผลิตในอาเซียน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2014, 10:56:41 AM »
ค่ายรถหลายค่ายเลือกที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการสร้างโรงงานประกอบรถในสายการผลิต
ไม่เว้นกระทั่งแบรนด์เก่าแก่ระดับโลกจากเมืองลุงแซมอย่าง “Indian” ซึ่งแย้มว่ามีโอกาสขยายฐานการผลิตมาที่นี่
ด้วยเช่นกัน  วันนี้ ASTVผู้จัดการMotoring ได้พาเราไปพูดคุยกับ Mr.Maxime Vandereyken - International
Sale Manager Polaris International Inc. เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
รวมถึงมุมมองทิศทางของตลาดสองล้อขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน
 

       
       “ผมเชื่อว่าตลาดในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากมีโรงงานประกอบย้ายฐานการผลิต
มาที่นี่มากขึ้น ทั้งจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วเอเชียหรือทั่วโลกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ตัวเลขการเติบโตทางธุรกิจพุ่งสูงขึ้น ทำให้เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก ในประเทศไทยเอง
ตอนนี้มีหลายแบรนด์ที่เข้ามาตั้งโรงงานประกอบขึ้น ทั้งทางฝั่งยุโรปอย่าง Ducati, BMW, Triumph หรือฝั่งญี่ปุ่นอย่าง
Honda และ Kawasaki แน่นอนว่าในอนาคตทางบริษัทมีแผนขยายฐานการผลิตมายังเอเชีย โดยตัวเลือกอาจจะเป็น
ประเทศไทย มาเลเซีย หรือเวียดนาม ซึ่งเรากำลังพิจารณาอยู่ แต่ยังสรุปไม่ได้ในตอนนี้ และเมื่อนำประเด็นดังกล่าว
มาบวกกับการเกิดขึ้นของ AEC ในปี 2015 หากมีฐานการผลิตในภูมิภาคนี้แล้ว เชื่อว่าการส่งโมเดล CKD ทำตลาด
จะสร้างโอกาสแข่งขัน และขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงในเอเชียด้วย ในไทยเองก็มีนักบิด
ที่มีความต้องการหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแนวสปอร์ต เน็กเก็ต ทัวริ่ง รวมถึงความต้องการรถในสไตล์อเมริกันครุยเซอร์
อย่าง Indian ด้วย สังเกตจากกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยในปีนี้โมเดลล่าสุดอย่าง Scout
ถือเป็นไฮไลท์สำคัญสำหรับกลุ่มนักบิดหน้าใหม่ ซึ่งกำลังมองหาอเมริกันครุยเซอร์ขนาดเล็กที่เหมาะสมกับสรีระ
พร้อมด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่แรงแต่ควบคุมง่าย น้ำหนักเบา งานการออกแบบที่ทันสมัย เปี่ยมด้วยสไตล์ความ
คลาสสิกแบบต้นตำรับ ซึ่งมีแผนวางจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ ด้วยราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เชื่อมั่นว่าโมเดลนี้จะประสบความสำเร็จในการทำตลาดแน่นอน"



"จากที่สังเกตจากกระแสของตลาด ที่มีแนวทางการใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กลง
จากเดิม โดยขยับจากใหญ่ลงมาสู่พิกัดขนาดกลาง เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดเอเชีย ตัวรถที่มีเครื่องยนต์
ขนาดใหญ่อาจไม่ค่อยเหมาะกับคนเอเชียมากนัก ด้วยน้ำหนักตัวรถและขนาดร่างกายผู้ขี่ไม่เหมาะสมกัน
ตอนนี้ทางบริษัทเองก็เร่งพัฒนาโมเดลอื่นๆ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเดียวกันนี้ แต่คงต้องขอปิดเป็นความลับไว้ก่อน
สำหรับแผนการทำตลาดของ Indian Motorcycle ในปีนี้ ปัจจุบันเรามีตัวแทนจำหน่ายแล้วที่ประเทศออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ อินเดีย เม็กซิโก ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยมีโชว์รูมทั้งหมด
14 แห่ง และมีแผนขยายเครือข่ายการขายที่ประเทศจีน ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง พร้อมกับเพิ่มโชว์รูมทั้งหมดเป็น 40 แห่ง
ภายในปี 2015 ขณะที่เป้าหมายยอดขายน่าจะ ทำได้มากกว่า 300 คันขึ้นไป หรือระหว่าง 300-1,000 คัน”
 

       
ที่มา: ASTVผู้จัดการ Motoring
เรียบเรียง: Indian Motorcycle Thailand
http://indianmotorcyclethailand.com/news_content.php?news_id=30

3


Indian Chieftain เป็นรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อไว้ล่องไปตามถนนที่ทอดยาวไกลแสนไกล
จากขุมพลังของเครื่องยนต์ลูกใหญ่ขนาด 111 ลูกบาศก์-นิ้ว (1,811 ซีซี) ที่มีนามว่า Thunder Stroke Engine
ที่ให้แรงบิดมากถึง 119 ฟุต-ปอนด์
 
นี่เป็นเครื่องยนต์ที่ดูดีอย่างที่หาใครมาเทียบได้ และแน่นอนว่าเจ้าเครื่องยนต์ลูกนี้ก็สวยจนไปเตะตาของ Roland Sands
ชายหนุ่มผู้สร้างสารพัดงานคัสตอมที่น่าทึ่งเข้า ที่สำคัญ Roland Sands ยังคอนข้างอินกับตำนานความสำเร็จของ Indian
ในวงการแข่งขันที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ในยุคหนึ่ง เขาเลยจะนำเครื่องยนต์ Thunder Stroke มาสร้างรถในแบบวินเทจ
ด้วยแรงบันดาลใจจากสนามแข่งแบบ “Boardtracker” จึงเกิดขึ้นเป็น Indian Track Chief
 

 
 รถคันนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายจนยากจะบอกว่าเขาเริ่มกันจากตรงไหน  Roland Sands บอกว่า
เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปต้นแบบ Drag Bike คันหนึ่งที่ Sylvain จาก Holograph Hammer ส่งมาให้ดู
เขาเลยจับเขามาปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นรถ Boardtracker ด้วยสวิงอาร์มแบบข้างเดียว และรายละเอียดอื่นๆ
ทั้งหมดแต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์อย่างถังน้ำมัน โช้คหน้าแบบ Girder และ เฟรมแบบดั่งเดิมเอาไว้
 
เฟรมแบบ Rigid ที่มีอาร์มแบบเดี่ยวนั้นเป็นผลงานที่งดงามอย่างยิ่ง โดนแขนที่ยื่นออกมานั้นทำมาจาก โครโมลี่ 4130
และทำสีดำขลับโดย Olympic Powdercoating
 

 
เฟรมรถที่ถูกสร้างขึ้นมาดูเข้ากับตะเกียบหน้าแบบ Leaf Spring สีดำเป็นอย่างดี ด้วยงานประกอบแบบสมัยใหม่มั่นใจได้เลย
ว่าขาคัสตอมหลายๆ คนที่ชอบงานสไตล์วินเทจแต่อยากได้สมรรถนะที่ดีจะต้องหลงใหลอย่างแน่นอน ที่ด้านซ้ายของขาหน้า
คือโช้คสำหรับจักรยานเสือภูเขาจาก Fox DHX ซึ่งเป็นโช้คที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการแข่งขันดาวน์ฮิลล์ระดับโลก
 

 
Cameron Brewer คนดูแลโปรเจ็คนี่ของ Sands บอกว่า “โช้คเล็กๆ ตัวนี้จะคอยควบคุมการเคลื่อนไหวที่ล้อหน้า
ถึงจะเป็นโช้คตัวเล็กๆ แต่ก็ทำหน้าที่ได้ยอกเยี่ยมมาก ค่าการยืดยุบของตัวโช้คนั้นลงตัวกับ Leaf Spring สุดๆ”
 
ด้าน Roland Sans กล่าวว่า “ตอนที่คิดว่าจะใช้เฟรมแบบ Rigid คู่กับตะเกียบหน้า Leaf ทำเอาผมคิดหนักจนถึงกับเก็บไป
นอนฝัน แน่นอนว่าฟังดูแล้วอาจจะเจ๋งและใช่งานได้ดีแต่ก็อาจไม่ดีอย่างที่คิด ผมก็เลยเอา Track Chief  ออกไปขี่รอบๆ
Sturgis ไม่ใช่แค่ทางตรง แต่บนทางโค้งคดเคี้ยวด้วย ซึ่งผลที่ได้จากการทดสอบทำให้ผมมีความสุขสุดๆ เลยล่ะ”
 
ที่วางอยู่ด้านบนของเฟรมก็ถือถังน้ำมันไทเทเนียมที่ขึ้นรูปด้วยมือ ส่วนใต้เฟรมนั้นเป็นอกไก่ที่ทำจากอลูมิเนียม
ภายในเครื่องยนต์ Thunder Stroke ของ Indian Chieftain นั้นไม่ได้ถูกปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม แต่ก็ในส่วนของของแต่ง
จากสำนัก Roland Sands Design อย่าง Air-Cleaner, High-Flow ที่ไม่ให้อุปกรณ์เดิมที่ติดมากับเครื่อง
มาขวางตำแหน่งการวางขา
 
คอท่อไทเทเนียมแบบ 2-2 ถูกวางแนบไปตามทรวดทรงของเครื่อง V-Twin ก่อนจบด้วยปลายท่อ RSD Slant ด้าน
Roland Sands บอกว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างรถคันนี้ก็คือความมั่นใจในการใช้งาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเก็บเอาอุปกรณ์
เดิมของตัวรถเอาไว้เหมือนทุกครั้ง ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งคือพวกสายไฟของตัวรถ โชคดีที่เราได้ความช่วยเหลือจาก Indian
มาช่วยจัดการปลดพวกสายไฟให้เหลือเท่าที่จำเป็นต้องใช้”
 

 
Cam Cover และ Primary Cover ใช้เป็นแบบใสของ RSD เผยให้เห็นคลัทช์จาก Barnett ที่ทีมสร้างขอให้ออกแบบขึ้นมา
Brewer บอกว่า “เราไปบอกกับ Barnett ว่าเราจะสร้าง Primary Cover อันนี้ขึ้นมา แล้วเราก็อยากได้คลัทช์เทพๆ สักอันมา
ใส่เอาไว้ ของทั้งสองชิ้นนี้ไม่ได้ถูกทำขึ้นมาสำหรับจำหน่าย แต่คุณคงมีโอกาสได้เห็นบ้าง”
 

 
Track Chief มีอัตราความเร็วในการเข้าโค้งที่รวดเร็วและรุนแรง ด้วยน้ำหนักตัวที่เบากว่า Chieftain เจ้าของเครื่องยนต์
Thunder Stroke ลูกนี้ที่มีน้ำหนักตัวถึง 827 ปอนด์ Brewer บอกว่า “เรายังไม่ได้เอา Track Chief  ไปชั่งน้ำหนักดู
แต่ผมบอกเลยว่าเราสองคนยก Indian ให้ลอยได้ไม่ยาก ซึ่งนั้นพอจะบอกน้ำหนักของรถคันนี้ได้ และผมเดาว่าคงอยู่ประมาณ
400-500 ปอนด์” Roland Sands เสริมว่า “ของที่เราถอดออกมากองไว้นั้นมหาศาลจริงๆ!”
 

 
ด้วยแฮนด์บาร์ที่ถูกเชื่อมกับส่วนหน้าของตัวรถ Roland Sands เลยออกแบบแฮนด์บาร์แบบแคบโดยไม่ใช้แบบท่อกลวง
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแฮนด์แบบคลิปออนที่ไม่มีตัวปรับหรือจุดหมุนที่ก้านแฮนด์ ปลอกแฮนด์ใช้เป็น RSD Traction Grips
ที่ส่วนปลายนำไปอโนไดซ์เป็นสีบรอนซ์เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์แบบวินเทจ
 
ส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้ Track Chief  ดูเป็นรถสำหรับแข่ง Boardtracker ก็คือล้อ Track Chief
ใช้ล้อขนาด 21 X 3.5 นิ้ว ที่มีน้ำหนักเบาอย่าง RSD Del Mar ที่มีสีบรอนซ์แบบเดียวกับปลายแฮนด์
สวมด้วยยาง Dunlop Elite 3 ไซส์ 120/70-21 สำหรับงานคัสตอมโดยเฉพาะ และสำหรับสิ่งที่จะมาหยุดขุมพลังอันมหาศาล
ของเครื่องยนต์ Thunder Stroke คือ ระบบเบรคของ Brembo ใช้ชุดขับและสเตอร์หลังจาก Gregg’s Custom
 

 
งานสีเป็นปัจจัยเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญ ทีมเลยเลือกใช้สีแดง Red Indian บวกกับสีดำตัดชอบให้กับตัวอักษร Indian สีทอง
ขนาดใหญ่ที่ข้างถังน้ำมันไทเทเนียมที่ยังคงความดิบไว้
 
Track Chief  ไม่ใช่รถประเภทที่คุณจะได้เห็นในแคตตาล็อคของทางค่ายในเร็ววันนี้แน่นอน แต่ก็เป็นการแตกหน่อ
ความเจ๋ง ของแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ให้แบรนด์ก้าวขึ้นมาอีกขั้นหรืออาจจะมากกว่านั้น


4
วันนี้ทีมงานของ Motorcycle USA จะขี่รถจาก Sturgis ผ่านเส้นทางที่หลากหลายเพื่อไปยังหาด Daytona
เพื่อเข้าร่วมงานที่มีสาวกครุยเซอร์จากทุกประเภท ทุกแนว และทุกแบรนด์เข้าร่วมมากที่สุด
 
มีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกผิดทุกครั้งเมื่อมีโอกาสได้รีวิวรถทัวร์ริ่ง  นั่นก็คือความคิดเห็นจากมุมมองของคนซ้อน
เราไม่ค่อยได้เจอใครที่มีประสบการณ์ยาวนานและใช้รถมาอย่างหลากหลายพอที่เขาจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนกับเรา
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเวลาในการทำงานที่มีจำกัด และบางทีอาจเป็นเพราะความถือตัวและไม่อยากให้ใครมาคุมแทนในขณะที่
เราต้องขึ้นมานั่งเบาะหลัง แล้วให้คนอื่นพาขี่วนไปรอบๆ อย่างไรซะตอนนี้เราก็สำนึกผิดแล้วล่ะ
 

 
ครั้งนี้เราเลยอยากจะทำรีวิวของ 2015 Indian Road Master แบบเจาะลึกจากตำแหน่งที่ดีกว่าจากเบาะคนซ้อน
เพราะว่ารถคันนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการขี่ท่องเที่ยวสองคน ด้วยเบาะนั่งที่หรูหราและพนักพิงหลังอย่างดี
การรีวิวในครั้งนี้ผมจึงขอความร่วมมือจากภรรยา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์การซ้อนมอเตอร์ไซค์มาอย่างมากมายหลายแนว
ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผมทำงานเป็นสื่อด้านมอเตอร์ไซค์ แน่นอนว่าแองจี้ภรรยาของผมนั้นก็เป็นคนที่ขี่รถด้วย
ดังนั้นเธอจึงมีประสบการณ์ทั้งในฐานะของคนขี่และคนซ้อน
 
ต้องยกนิ้วโป้งโตๆ ให้กับเบาะนั่งอันหรูหราที่ทำให้เราเซอร์ไพร์สตั้งแต่แรกเห็น กับความนุ่มนวลระดับสุดยอดพร้อมด้วยพื้นที่
ว่างมากพอให้คุณขยับตัวได้ทุกทิศทาง หลังจากขี่ผ่านระยะทางหลายร้อยไมล์เธอก็พบว่าแทบไม่มีอาการปวดคอหรือเมื่อยคอ
สักนิด เมื่อเทียบกับการนั่งในรถยนต์เป็นระยะทางไกลๆ ที่วางเท้าแบบฟลอร์บอร์ดก็ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมและไม่รู้สึก
ถึงแรงสั่นสะเทือนใดๆ นอกจากนั้น พนักพิงหลังนั้นทั้งนุ่มนวลและรองรับแผ่นหลังของเธอได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แม่คนซ้อน
ยังบอกอีกว่าในรถมอเตอร์ไซค์บางคันที่มีที่วางแขนมักจะวางตำแหน่งที่วางแขนไว้ไกลตัว ทำให้คนซ้อนรู้สึก เก้ๆ กังๆ
อย่างกับติดกับดัก แต่ที่วางแขนของ Roadmaster นั้นถูกวางไว้อย่างลงตัว พักแขนได้อย่างสบายๆ ไม่รู้สึกกำลังถูกบังคับ
ให้ต้องนั่งอยู่บนรถ ขณะที่รถทัวร์เรอร์บางคันที่เคยนั่งจะมีโพรงเพราะตำแหน่งของลำโพงแต่เบาะนั่งของ Roadmaster นั้นทำให้
เธอนั่งได้อย่างสบาย ลองรับหลังของเธอได้เต็มที่และยังบอกอีกว่าเบาะนั่งของรถคันนี้นั้น “สวยมาก”
 

 
นอกจากแฟริ่งหน้าอันมหึมาแล้วรถคันนี้ยังมีชิลด์หน้าปรับไฟฟ้าและแฟริ่งชิ้นล่างบริเวณเท้า ช่วงกันแรงปะทะของลมได้
อย่างน่ามหัศจรรย์ และในตำแหน่งคนซ้อนยังมีตัวคนขี่ที่เป็นกำบังอยู่ข้างหน้าอีกต่อหนึ่ง แต่ระหว่างทางตรงคนซ้อนของเราบอกว่า
เธอนั้นมองข้ามหมวกกันน็อคคนขี่ไม่ได้ทำให้ไม่เห็นทางข้างหน้า แต่ตอนอยู่ในโค้งเธอมองเส้นทางข้างหน้าเห็นรวมถึงการ
ขยับหัวออกมาข้างๆ ก็ด้วย ปัจจัยอย่างหนึ่งคือเรื่องของความสูงเพราะตัวผู้ขี่นั้นสูงถึง 180 ซม. ในขณะที่เธอสูง 165 ซม.
ส่วนเรื่องเสียงดังรบกวนของกระแสลมและอื่นๆ เธอก็บอกว่าไม่ได้รู้ว่ามีเรียกรบกวนดังเกินกว่าที่คิดเอาไว้ ทั้งที่ผมคิดเอาไว้ว่าเสียง
ท่อไอเสียน่าจะดังพอสมควรหากนั่งอยู่ในตำแหน่งคนซ้อนแต่ก็ผิดคาด เมื่อเปิดใช้งานลำโพงสเตอริโอขนาด 200 วัตต์ ระบบ
ลำโพงก็เริ่มทำงานจากตำแหน่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ และให้เสียงที่ชัดเจนราวกับว่าเสียงนั้นดังอยู่ในหมวกกันน็อค และยังให้เสียง
ที่ชัดเจนและใสจนผมระเบิดคันเร่ง ที่จริงแล้วระดับเสียงนั้นจะถูกเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อคุณใช้คันเร่งหนักขึ้นจนคุณแทบ
ไม่ทันสังเกต
 
มีอยู่เส้นทางหนึ่งที่นำเราขี่ขึ้นสูงไปจนอุณหภูมิลดต่ำลงอยู่ที่ประมาณ 48 องศาฟาเรนไฮน์ ทำให้คนซ้อนของผมเริ่มเปิดใช้
งานระบบทำความร้อนที่เบาะนั่ง ซึ่ง Indian Roadmaster เจ๋งตรงที่มีที่ปรับความร้อนแยกส่วนกันระหว่างคนขี่และคนซ้อน
ทำให้คนซ้อนเลือกปรับระดับอุณหภูมิของเบาะนั่งได้ตามใจตลอดการเดินทาง เธอบอกว่าการปรับค่าอุณหภูมิของเบาะไว้ที่
ระดับสูงสุดนั้นร้อนมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอใส่แค่กางเกงยีนส์ที่คลุมด้วยกางเกงหนังเว้าก้นหรือ Chaps เท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเบาะนั่งร้อนเกินพอดีเพียงแค่เธอต้องการจะเร่งอุณหภูมิของเบาะให้อยู่ในระดับสูงสุดเพื่อให้เบาะอุ่นเร็วที่สุด ก่อนจะลด
อุณหภูมิกลับมาอยู่ในระดับที่พอดี และเธอยังเอามือแถวๆ หลังผมตรงส่วนหนังที่อยู่ระหว่างที่นั่ง เพื่อทำให้มืออุ่นด้วย
 

 
บนทางหลวงที่เรียบระบบช่วงล่างที่ถูกเซ็ตค่ามาจากโรงงานทำงานได้อย่างดีสำหรับการขับขี่แบบมีคนซ้อน และเมื่อต้องขึ้น
เขาด้วยความเร็วบวกกับถนนที่ขรุขระกับโค้งอีกมากมายหลายโค้ง ช่วงล่างก็ไม่ได้ย้วยมากหรือกระด้างเกินไป ที่ทางด้านซ้าย
ของตัวรถจะมีชาร์ทบอกระดับความเหมาะสมของการเซ็ตอัพระบบช่วงล่างตามน้ำหนัก แต่รถทดสอบของเราไม่มีปั๊มลมติดมา
ให้จึงทำให้เซ็ตระบบช่วงล่างตามความเหมาะสมไม่ได้ อันที่จริงปั๊มลมตามปั๊มน้ำมันก็ใช้ในการปรับค่าช่วงล่างของรถได้เช่นกัน
โชคร้ายที่เราไม่มีปั๊มอยู่ใกล้ๆ เลย
 
เหนือสิ่งอื่นใด ภรรยาคนเก่งของผมบอกว่า การโดยสารบนที่นั่งคนซ้อนของ Indian Roadmaster
คือหนึ่งในประสบการณ์การซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่สนุกที่สุด นุ่มนวลที่สุด เท่าที่เคยมีมา




5

ข่าวในประเทศ-“อินเดียน วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิล” เดินหน้ายกระดับการบริการหลังการขายต่อเนื่อง ส่งทีมช่างเทคนิคฝึกอบรมทักษะถึงออสเตรเลีย เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถงานซ่อมบำรุง รองรับการนำเข้ารถบิ๊กไบค์ INDIAN และ VICTORY รุ่นใหม่ปี 2015 ที่จะวางตลาดปลายปีนี้ พร้อมขยายพื้นที่ศูนย์บริการสำนักงานใหญ่ ซอยพัฒนาการ 76 หลังลูกค้าแห่ใช้บริการล้นทะลัก ตั้งเป้าขยับฐานะให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมช่างเทคนิคภายในประเทศ รองรับการเปิด AEC
 

 
  นายณัฐพล ไตรณัฐี กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเดียน วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิล จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถจักรยานยนต์สัญชาติอเมริกัน INDIAN และ VICTORY อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยถึงการส่งทีมช่างเทคนิคของบริษัทเข้าร่วมฝึกอบรมทักษะช่างทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ภายใต้กิจกรรม Polaris Technical Training ณ เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย สำนักงานใหญ่ INDIAN-VICTORY ประเทศออสเตรเลีย ที่ดูแลด้านการทำตลาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งจัดขึ้นประจำทุกๆ ปี โดยมีผู้แทนจำหน่ายที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค และลาตินอเมริกา (Apla) ประกอบด้วย ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน-ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย และไทย ภายใต้การกำกับของบริษัทแม่ “โพราริส อินดัสทรีส์” (Polaris Industries สหรัฐอเมริกา) เข้าร่วมอบรมว่า นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีและงานซ่อมบำรุงรถบิ๊กไบค์ให้ทีมช่างแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการนำเข้ารถบิ๊กไบค์ INDIAN และ VICTORY รุ่นใหม่ปี 2015 ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2014
       
       สำหรับโปรแกรมฝึกอบรมครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เริ่มด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นปี 2015 ทั้ง INDIAN รุ่น Scout รุ่น Roadmaster และ VICTORY รุ่น Magnum ในด้านคุณสมบัติ รูปลักษณ์ และส่วนประกอบต่างๆ ครอบคลุมถึงการขับขี่ใช้งานของรถรุ่นใหม่ ขณะที่ภาคปฏิบัติ ทีมวิศวกร (โพราริส) ทำการถอดชิ้นส่วนเครื่องยนต์และถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีต่างๆ ให้ผู้เข้าอบรมได้ศึกษา พร้อมเปิดโอกาสให้ทีมช่างทุกชาติลงมือปฏิบัติตาม
 

 
 “เครื่องยนต์ ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถ หากเรียนรู้ภาคทฤษฏีแล้วไม่ได้นำมาปฏิบัติจริงหรือปฏิบัติเฉพาะในห้องเวิร์คช็อปก็จะไม่มีประโยชน์ เหตุนี้ทีมช่างของเรา ซึ่งมีประสบการณ์สูงเคยผ่านงานซ่อมรถบิ๊กไบค์มาทุกแบรนด์ เป็นผู้ที่ขับขี่รถเองด้วย ที่สำคัญผ่านการอบรมลักษณะนี้ทุกปี จึงขออนุญาตวิศวกรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อขอทบทวนความรู้และลงมือปฏิบัติจริงเป็นการส่วนตัวในทุกขั้นตอนจนประสบความสำเร็จ ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ทีมช่างเราเกิดความมั่นใจในการนำทักษะความรู้เหล่านี้มาดูแลลูกค้า เพื่อให้เกิดความพึงพอใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด”
       
       นอกจากนี้ ทีมวิศวกร (โพราริส) ยังเพิ่มพูนความรู้กับการใช้อุปกรณ์พิเศษใหม่ล่าสุด ซึ่งบริษัทแม่ได้พัฒนาให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการศึกษาวิธีการซ่อมบำรุง วิธีการส่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถ ที่สามารถสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างดีลเลอร์กับดีลเลอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก และบริษัแม่เข้าด้วยกัน
 

 
 “โพราริสได้อัพเกรดอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่น ทำงานผ่าน Smart Phone หรือโทรศัพท์มือถือระบบ Android (แอนดรอยด์) เชื่อมต่อเข้า Module เพื่อช่วยในการสื่อสารและงานซ่อมบำรุงรถที่ง่ายและรวดเร็ว แทนแล็ปท็อปที่มีขนาดใหญ่ที่ทำให้การอ่านข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์ ระบบไฟ และระบบกลไกต่างๆ ของเครื่องยนต์ได้ทันทีทันใดว่า รถเกิดอาการใด ต้องซ่อมบำรุงในส่วนไหนอย่างไร พร้อมทั้งประมวลผล แสดงค่าออกมาเป็นกราฟ ถือได้ว่าเป็นบริษัทรถบิ๊กไบค์รายแรกที่นำแอพพลิเคชั่นดังกล่าวนี้ นำมาใช้งานซ่อมบำรุงอย่างเป็นทางการ สามารถถ่ายรูปหรือถ่าย VDO แล้วส่งไปยังเครือข่ายเน็ตเวิร์คทั่วโลก เพื่อร่วมกันศึกษาและส่งความคิดเห็นถึงกัน ซึ่งช่วยพัฒนาความรู้และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้รถของ INDIAN-VICTORY”
       
       นายณัฐพล ไตรณัฐี กล่าวว่า เมื่อเปิดเขตการค้าเสรีภูมิภาคอาเซียน (AEC) ผู้ขับขี่บิ๊กไบค์เพื่อมาท่องเที่ยวเมืองไทย และลูกค้าของบริษัทจะได้รับประโยชน์จากอุปกรณ์พิเศษนี้ หากเกิดปัญหาและอยู่ไกลศูนย์บริการ บริษัทสามารถส่งทีมช่างหรือรถโมบายเซอร์วิส ที่มีอุปกรณ์พิเศษนี้ไปช่วยแก้ไขได้ทันที และยังดึงฐานข้อมูลรถลูกค้าจากชาตินั้นๆ มาประกอบการซ่อมบำรุงได้ง่าย สะท้อนให้เห็นว่า INDIAN-VICTORY THAILAND ไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีเน็ตเวิร์คเชื่อมต่อกันทั่วโลก รวมถึงโรงงานผลิตรถมาให้การสนับสนุน ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจการบริการหลังการขายที่ดีมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
 

 
  “ปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่ศูนย์บริการที่ซอยพัฒนาการ 76 มากเป็น 3 เท่าหรือเพิ่มขึ้นจากช่วงแรกๆ ที่เปิดทำตลาดเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา จาก 30 คันต่อเดือนมาเป็น 100 คันต่อเดือน รวมถึงรถแบรนด์อื่นๆ ที่ไว้วางใจในศักยภาพทีมช่างเทคนิคของเรา เข้ามาใช้บริการซ่อมบำรุงเบื้องต้นอีกส่วนหนึ่ง จึงมีแผนขยายพื้นที่ศูนย์บริการเพิ่มขึ้นอีกราว 3 เท่า จากเดิม 150 ตารางเมตรมาเป็น 400 ตารางเมตร เพิ่มช่องซ่อมจาก 2 ช่องมาเป็น 5-6 ช่อง เพื่อรองรับการบริการทั้งรถรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาด รถจากลูกค้าเดิม และรถแบรนด์อื่นๆ คาดว่าภายในไตรมาสแรกปี 2015 จะแล้วเสร็จ และพร้อมให้การบริการ โดยล่าสุดได้จัดซื้ออุปกรณ์พิเศษมาเพิ่มเติมแล้ว อีกทั้งปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ INDIAN-VICTORY จะเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการใหม่ขึ้นเป็นแห่งที่ 2 ที่จังหวัดนครราชสีมา”
       
       นายณัฐพล ไตรณัฐี กล่าวในท้ายสุดว่า การเร่งขยายพื้นที่การให้บริการในส่วนของศูนย์บริการและจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นการยกระดับการบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการที่ดีที่สุดกับผู้ขับขี่ INDIAN-VICTORY ภายใต้นโยบายหลักที่มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การบริการที่เป็นเลิศ และรองรับการเปิดเป็นศูนย์ฝึกอบรมทีมช่างเทคนิค สำหรับโชว์รูม-ศูนย์บริการใหม่ขึ้นเป็นแห่งที่ 2 ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่จะเปิดตัวช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ และแห่งใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวตามมาในอนาคต




6
Indian Talk / Indian Chief Classic ปะทะ มาริโอ้-เมาเร่อ
« เมื่อ: กันยายน 19, 2014, 04:49:44 PM »
   

มาริโอ้กับ Indian Chief Classic หล่อกินกันไม่ลงจริงๆ :relief: :relief: :relief:




Indian Chief Classic ใครขี่ก็ดูดีเพิ่มอีก 20 เท่า  :gangs: :gangs: :gangs:




http://indianmotorcyclethailand.com/news_content.php?news_id=27


7
Indian Talk / Indian Motorcycle Thailand ร่วมออกบูธงาน Immortal's Day
« เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 05:42:03 PM »

Indian Motorcycle Thailand ได้เข้าร่วมออกบูธในงาน Immortal's Day
งานรวมพลครั้งยิ่งใหญ่ ฉลองครบรอบ 23 ปีของกลุ่มผู้เล่นรถครุยเซอร์อย่าง Immortal



โดยในวันงานนั้นมีผู้เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แน่นขนัดบริเวณศูนย์การค้า
ด้านบูธ India Motorcycle Thailand เอง ก็ได้รับความสนใจ จากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี





มีผู้ให้ความสนใจแวะเวียนเข้ามาสอบถามและทดสอบคร่อม Indian Chief Vintage อย่างต่อเนื่อง
ก่อนจะแวะซื้อของที่ระลึก และเข้าร่วมงานที่นอกจากบรรยากาศเพื่อนฝูงแล้ว ในงานยังมีอาหารเครื่องดื่ม
บริการตลอดงาน
ก่อนจะปิดท้ายด้วยด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก หิน-เหล็ก-ไฟ
 


กิจกรรมสุดมันดังกล่าวถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2557 ที่ผ่านมาที่ศูนย์การค้า The Nine พระราม 9




8



เปิดตัวไปแล้วอย่างงดงามสำหรับ Indian Victory Motorcycle Showroom โชว์รูมสำหรับสองแบรนด์มอเตอร์ไซค์สุดหรูสัญชาติอเมริกัน “INDIAN MOTORCYCLE” (อินเดียน มอเตอร์ไซเคิล) และ “VICTORY MOTORCYCLES” (วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิลส์) บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ย่านพัฒนาการ ซึ่งงานนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่าไบค์เกอร์และผู้ที่หลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงคนดังในวงการบันเทิงอีกมากมาย



บรรยากาศภายในงานเริ่มคึกคักตั้งแต่ห้าโมงเย็นจากเหล่าไบค์เกอร์ที่เริ่มทยอยขี่เข้าร่วมงาน จนลานจอดรถเต็มตั้งแต่หัวค่ำ จากนั้นงานพิธีการก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการร่วมพูดคุยเสวนาระหว่างผู้บริหารและผู้ที่คร่ำหวอดในวงการมอเตอร์ไซค์ ในหัวข้อ “INDIAN MOTORCYCLE IN THAILAND” เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นตำนานของมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันที่เก่าแก่กว่า 114 ปี กับการเปิดตัวในเมืองไทยเป็นครั้งแรก รวมถึงสิทธิประโยชน์ และกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นสำหรับลูกค้า INDIAN MOTORCYCLE ในเมืองไทยอีกมากมาย โดยงานนี้ยังถือเป็นการขอบคุณลูกค้าผู้สั่งจองอินเดียน ทุกท่านด้วยการมอบของที่ระลึกเพื่อแทนคำขอบคุณ ปิดท้ายพิธีการโดยท่านประธานในพิธี พลตำรวจโท ชินทัต มีศุข จเรตำรวจ และผู้บริหาร Indian Victory Motorcycle ร่วมกันบิดคันเร่ง INDIAN CHIEF VINTAGE สีแดงคันงาม ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายในงานนอกจากจะมีการจัดแสดงมอเตอร์ไซค์อินเดียนโบราณแล้ว ยังมีการจำหน่ายอุปกรณ์อะไหล่ และเครื่องแต่งกายจากสินค้าในเครืออย่างหลากหลาย อีกทั้งยังมีอาหารสไตล์อเมริกันและเครื่องดื่มเย็น ๆ คอยบริการอย่างเต็มอิ่มตลอดทั้งงาน



นอกจากนี้ ภายในงานยังคึกคักไปด้วยเหล่าคนดังหัวใจสองล้อที่ขนขบวนมาร่วมแสดงความยินดีอย่างมากมาย อาทิ ดีเจแมน-พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา, หนุ่มเกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์, หนุ่มขาแร็พรุ่นใหญ่อย่าง พี่โจ้-โจอี้บอย, เต้-ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์ และผู้จัดละครหนุ่มไฟแรง เจ็ท-ณัฐพงศ์ เหมือนประสิทธิเวช ตบท้ายด้วยการแสดงดนตรีจากวง “Rust Jam” ที่มาสร้างความมันสุดเหวี่ยงให้กับแขกในงาน




INDIAN VICTORY MOTORCYCLE SHOWROOM แห่งนี้ ครอบคลุมการบริการต่าง ๆ อย่างครบครัน ทั้งการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Indian Motorcycle และ Victory Motorcycles อุปกรณ์ตกแต่ง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และศูนย์บริการซ่อมบำรุง รวมไปถึง HDP Café มุมพักผ่อนที่คอยบริการเครื่องดื่มหลากหลายเมนู พบกับบริการอย่างเต็มรูปแบบของ INDIAN VICTORY MOTORCYCLE SHOWROOM ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนถึงเวลา 19.00 น. ที่ ซ.พัฒนาการ 76 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-722-0990, 02-320-0033



9



__________________________________________________________________________________


                          

                                _____________________________________      _____________________________________      _____________________________________

                                     INDIAN® CHIEF® CLASSIC                             INDIAN® CHIEF® VINTAGE                             INDIAN® CHIEFTAIN™
                                     Thunder Black                                                  Indian Motorcycle® Red                                    Springfield Blue
                                                                     
                                _____________________________________      _____________________________________      _____________________________________

                                     - Power                                                           - Signature Storage Capability                            - Advanced Technology
                                     - Classic, Heritage Styling                                  - Iconic Styling                                                  - Comfort & Protection
                                     - Premium Materials and Finish                          - Genuine Leather                                             - Progressive Styling
                                _____________________________________      _____________________________________      _____________________________________

                                     THB MSRP                                                           THB MSRP                                                           THB MSRP
                                     STARTING AT ฿1,475,000                                STARTING AT ฿1,585,000                                STARTING AT ฿1,695,000
__________________________________________________________________________________



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2722-0990
หรือติดต่อฝ่ายขาย | 0-8522-5520-2 ต้น สราวุธ | 0-8411-3284-0 บอล เนติ์ธนัฐ |

10


'อินเดียน' กลับมาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมเผยโฉม 3 โมเดลใหม่ปี 2014






'อินเดียน' (Indian) หนึ่งในแบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ระดับตำนาน ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้หลงใหลสองล้อทั่วโลก โดยเริ่มก่อตั้งและผลิตรถมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกในปี 1901 ที่เมืองสปริงฟิลด์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังจาก Polaris Industries  บริษัทผู้ผลิตและพัฒนา Snowmobiles และ ATV รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เข้าซื้อกิจการเมื่อปี 2011 พร้อมกับการเปิดตัวขุมพลังใหม่ "Thunder Stroke 111" ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการปลุกชีพให้กับแบรนด์ดังระดับตำนานอีกครั้ง และในปีนี้ ‘อินเดียน’ ตำนานแห่งรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกของโลกพร้อมแล้วที่จะกลับมาโลดแล่นบนท้องถนน ด้วยการประกาศเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในสายการผลิตปี 2014 เผยโฉมรถมอเตอร์ไซค์ 3 รุ่น ในกลุ่ม Indian Chief ได้แก่ Indian Chief Classic, Indian Chief Vintage และ Indian Chieftain ท่ามกลางฝูงชนนับพันชีวิต ที่งาน "Sturgis Motorcycle Rally ครั้งที่ 73" งานชุมนุมมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดขึ้นบริเวณ Sturgis Motorcycle Museum & Hall of Fame มลรัฐเซ้าท์ ดาโกต้า (South Dakota) ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา







2014 INDIAN CHIEF CLASSIC

Indian Chief Classic สุดยอดครุยเซอร์ที่ทรงพลังและสมบูรณ์แบบที่สุด โดยคงความเป็นเอกลักษณ์ของ 'อินเดียน' ในอดีต แต่ห่อหุ้มไว้ด้วยความล้ำหน้าทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดดเด่นด้วยบังโคลนแบบคลุมล้อ พร้อมตกแต่งด้วยเบาะหนังแท้ และแผงคอนโซลขนาดใหญ่แบบติดตั้งเข้ากับตัวถังน้ำมันเชื้อเพลิงทรงหยดน้ำ (Tear-drop) รวมไปถึงการนำสัญลักษณ์เครื่องหมายการค้ารูป "หัวหน้าเผ่า" (War Bonnet) ติดตั้งไว้บนบังโคลนหน้าของตัวรถ นอกจากนี้ Indian Chief Classic รุ่นปี 2014 ยังมาพร้อมด้วยชิ้นส่วนโครเมียมมันวับและชุดอุปกรณ์มาตรฐานคุณภาพสูง อาทิ ระบบการสตาร์ทเครื่องแบบไม่ใช้กุญแจ, ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Cruise Control, คันเร่งไฟฟ้า, ท่อไอเสีย True Dual, ซี่ล้อแบบโครเมียมอย่างดี, ฝาครอบคาลิปเปอร์, เฟรมหล่อจากอะลูมิเนียมพร้อมช่องรับอากาศเข้า และอื่น ๆ อีกหลากหลายรายการ

โดยในส่วนของเครื่องยนต์นั้น Indian Chief Classic รุ่นปี 2014 ได้มีการใช้ขุมพลังใหม่ Thunder Stroke 111 ที่มีขนาดความจุ 111 ลูกบาศก์นิ้ว (1,811 ซีซี) และให้แรงบิดที่ 119 ฟุต-ปอนด์ ซึ่งได้รับการออกแบบและผลิตขึ้นภายใต้ความเฉียบแหลมทางวิศวกรรมและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็ยังคงรูปแบบดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ 'อินเดียน' เอาไว้ นอกจากนี้ 'อินเดียน' ยังได้เสริมความมั่นใจในด้านประสิทธิภาพ โดยการทดสอบการวิ่งรวมระยะทางกว่า 2 ล้านไมล์ ทั้งบนถนนจริงและในห้องทดสอบ ด้วยประสบการณ์ทางด้านวิศวกรรมอันเหนือชั้นกว่า 60 ปี ของ Polaris Industries








2014 INDIAN CHIEF VINTAGE

Indian Chief Vintage เป็นรถมอเตอร์ไซค์แบบ Soft Bagger ที่นำเอาสไตล์การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ 'อินเดียน' มาผสมผสานเข้ากับอุปกรณ์เสริมหล่อที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความใส่ใจและประณีตในทุกรายละเอียด มาพร้อมด้วยเบาะหนังและกระเป๋าหนังด้านข้างสำหรับใส่สัมภาระ ซึ่งสามารถถอดประกอบได้อย่างง่ายดาย ปลายบังโคลนแต่งโครเมียม พร้อมติดสัญลักษณ์ "Vintage" ที่ทำจากโครเมียมไว้บริเวณบังโคลนหน้า รวมไปถึงแผ่นกันลมด้านหน้าแบบถอดได้ ทั้งนี้ Indian Chief Vintage ยังมาพร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาจากโรงงานเช่นเดียวกับ Indian Chief Classic ด้วยดีไซน์อันโดดเด่นที่มีเฉพาะใน 'อินเดียน' เท่านั้น อาทิ บังโคลนแบบคลุมล้อ, ล้อซี่ลวด, ยางขอบขาว, แผงคอนโซลแบบติดตั้งเข้ากับตัวถังน้ำมัน ซึ่งมาในชุดสีโครเมียมทั้งหมด ให้ภาพลักษณ์ของความงามแบบคลาสสิก รวมไปถึงการใช้เครื่องยนต์ Thunder Stroke 111 เช่นเดียวกันอีกด้วย







2014 INDIAN CHIEFTAIN

รถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ในสายการผลิตของ 'อินเดียน' ซึ่งยังคงรูปแบบความเป็นเอกลักษณ์ของ Indian Chief ไว้ โดยมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้ทันสมัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Indian Chieftain จะมาพร้อมด้วยลูกเล่นใหม่ที่ไม่เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ Indian รุ่นก่อน ๆ โดยจะมีโคมไฟติดมาพร้อมกับแฟริ่งด้วย และแผงกันลมที่ติดตั้งกับตะเกียบหน้า โดยในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐาน Indian Chieftain ก็มาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระแบบ Hard Baggers ที่สามารถล็อกเปิด-ปิดได้ด้วยรีโมทและตัวล็อกที่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย พร้อมเร้าใจไปกับคุณภาพเสียงระดับสุดยอด ที่มีการเชื่อมโยงด้วยระบบ Bluetooth สำหรับรองรับการเชื่อมต่อกับ Smartphone และระบบแสดงผลแรงดันลมยางอีกด้วย







ทั้งนี้ Indian Motorcycle กำลังอยู่ในระหว่างการวางแผนเพื่อจำหน่ายในอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยในส่วนของตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยนั้น จะมีการนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์ Indian Chief 2014 ทุกรุ่น เพื่อเปิดให้สั่งจองและทดลองขับขี่ในช่วงปลายปีนี้ ท่านที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ www.facebook.com/IndianMotorcycleThailand สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2320-0033





ข้อมูลโดย... Indian Motorcycle Thailand

11
News Talk / เปิดตำนาน Indian Motorcycle
« เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2013, 02:52:52 PM »





"อินเดียน" (Indian) นับเป็นอีกหนึ่งแบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ระดับตำนาน ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้หลงใหลสองล้อทั่วโลก โดยเริ่มก่อตั้งและผลิตรถมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกในปี 1901 ที่เมืองสปริงฟิลด์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อบริษัท Hendee Manufacturing ต่อมาเปลี่ยนเป็นบริษัท Indian Motocycle Manufacturing ในปี 1928 ก่อนจะล้มละลายในปี 1953 กระทั่ง Polaris Industries  เข้าซื้อกิจการในปี 2011 พร้อมกับการเปิดตัวขุมพลังใหม่ "Thunder Stroke 111" ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีต่อมา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการปลุกชีพให้กับแบรนด์ดังระดับตำนานอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ล่าสุด อินเดียนได้ออกมาแถลงเตรียมเปิดผ้าคลุมรถใหม่ "2014 Indian Chief" ในงาน Sturgis Motorcycle Rally ครั้งที่ 73 ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ แต่ก่อนที่จะไปยลโฉมรถใหม่ซึ่งเราจะตามติดเก็บข้อมูลเด็ดมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้า คุณรู้หรือไม่ว่าเรื่องราวก่อนที่อินเดียนจะกลายมาเป็นตำนานก็น่าสนใจไม่น้อย ส่วนจะเป็นมาอย่างไร ไปดูกัน!






1901
บริษัท Hendee Manufacturing เริ่มออกแบบมอเตอร์ไซค์อินเดียนคันแรก ก่อนจะสามารถสร้างรถต้นแบบพร้อมรถรุ่นผลิตเพื่อการจำหน่ายอีก 2 คัน จนสำเร็จ และนำออกทดสอบเป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน





1902
มอเตอร์ไซค์อินเดียนรุ่นแรกซึ่งมาพร้อมรูปลักษณ์ที่เพรียวลมและนวัตกรรมขับเคลื่อนด้วยโซ่ถูกนำออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการครั้งแรก





1903
"Oscar Hedstrom" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าวิศวกรผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์อินเดียนทำการบันทึกสถิติรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก โดยรถคันดังกล่าวสามารถทำความเร็วได้ถึง 56 ไมล์/ชั่วโมง



1904
ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์อินเดียนเปิดตัวสีใหม่ Crimson Steed of Steel (สีแดงสดแบบอินเดียน) ในสายการผลิตรถของบริษัท และในปีเดียวกันมอเตอร์ไซค์อินเดียนยังสามารถคว้ารางวัลเหรียญทองสาขาความเป็นเลิศด้านครื่องกลจากงาน St. Louis Exposition มาครองได้เป็นผลสำเร็จอีกด้วย





1906
อินเดียนเปิดตัวเครื่องยนต์ V-Twin รุ่นแรกในสายการผลิตหลังจากทำการพัฒนาและทดสอบนานหลายปี กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 100 ปี รูปแบบ V-Twin ก็ยังคงเป็นที่นิยมในการออกแบบเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ Cruiser



1906
สองนักบิดอินเดียน George Holden และ Luis Mueller ทำสถิติใหม่โดยใช้เวลาเพียง 31 วัน ในการขี่มอเตอร์ไซค์จากซานดิเอโก้ถึงนิวยอร์กอย่างไร้อุปสรรคตลอดการเดินทาง ซึ่งเร็วกว่าสถิติเดิมที่เคยบันทึกไว้ถึง 18 วัน





1907
อินเดียน V-Twin สร้างสถิติชนะเลิศในการแข่งขันรายการ English 1000-Mile Reliability Trial ครั้งที่ 1 ส่งผลให้ชื่อ “อินเดียน” ได้รับความน่าเชื่อถือนับแต่นั้นมา จากนั้นในปีเดียวกันกรมตำรวจนิวยอร์กได้ตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์ดังกล่าวจำนวน 2 คัน สำหรับใช้ในการติดตามม้าที่หนีออกจากคอก



1907
มอเตอร์ไซค์อินเดียนได้รับเลือกให้เข้าประจำการในหน่วยตำรวจมอเตอร์ไซค์หน่วยแรกของกรมตำรวจนิวยอร์ก



1908
เริ่มมีการวางถังน้ำมันรูปแบบใหม่ "loop frame" ให้กับมอเตอร์ไซค์อินเดียน โดยการติดตั้งเข้ากับเฟรมแนวนอนด้านหน้าของตัวรถ ก่อนที่ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายอื่น ๆ จะยึดเป็นแบบอย่าง จนกลายเป็นสูตรสำเร็จในการออกแบบตำแหน่งถังน้ำมันของรถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้





1911
นักบิด Indian (อินเดียน) กวาดทุกสถิติความเร็วและระยะทางของอเมริกา และยังสามารถกวาด 3 อันดับแรกในการแข่งขันรายการ Isle of Man Mountain Course Race ครั้งที่ 1 มาครองได้เป็นผลสำเร็จอีกด้วย





1913
Indian (อินเดียน) เริ่มใช้ระบบแขนแบบ Swingarm และระบบกันสะเทือนหลังแบบ Leaf-Spring กับรถมอเตอร์ไซค์ในสายการผลิตเป็นครั้งแรก





1914
Indian (อินเดียน) มีพนักงานที่ทำงานในสายการผลิตกว่า 3,000 คน กับแนวประกอบชิ้นส่วนรถที่ยาวถึง 7 ไมล์ ในโรงงานอินเดียนที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งมีพื้นที่ถึง 1 ล้านตารางฟุต และในปีเดียวกันนี้ Indian (อินเดียน) ได้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ชุดไฟแสงสว่างและชุดสตาร์ทเครื่องยนต์ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าคันแรกของโลก ขณะที่นักบิดอินเดียนนาม Cannonball Baker สามารถสร้างสถิติความเร็วใหม่ในการขี่มอเตอร์ไซค์ Indian V-Twin ข้ามฝั่งประเทศได้สำเร็จอีกด้วย





1916
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กิจกรรมแข่งรถของ Indian (อินเดียน) ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว เนื่องจากบริษัทต้องจัดส่งรถสำหรับใช้ทางการทหารจำนวน 41,000 คัน ให้กับกองทัพสหรัฐฯ พร้อมกับการเปิดตัว "Powerplus" เครื่องยนต์ใหม่แบบ Side-Valve ขนาด 61 ลบ.นิ้ว ในปีเดียวกัน





1918
รถแข่ง Indian (อินเดียน) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Powerplus ในแบบ Overhead Cam ที่มีถึง 4 วาล์วต่อสูบ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 120 ไมล์ / ชั่วโมง





1920
เริ่มมีการใช้โครงสร้างแบบ Semi-Monocoque ในเครื่องยนต์, ระบบส่งกำลัง และชุดเฟรม กับมอเตอร์ไซค์ Indian (อินเดียน) ในสายการผลิตเป็นครั้งแรก พร้อมกับการเปิดตัวรถใหม่ "Indian Scout" อย่างเป็นทางการ




1920
เริ่มต้นการปฏิวัติด้วย Indian Scout รุ่นปี 1920 ตามด้วย Indian Chief ที่ทำความเร็วได้ถึง 95 ไมล์ / ชั่วโมง, Indian Big Chief อันทรงพลัง, รถรุ่นเล็กอย่าง Indian Prince และ Indian Four ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ





1922
Indian (อินเดียน) กลายเป็นบริษัทแรกในอเมริกาที่ใช้วัสดุอะลูมิเนียมในการทำชุดไพรเมรี่ ซึ่งไม่ทำให้น้ำมันเครื่องซึมออก (Leak Proof) โดยบริษัทยังคงเป็นผู้นำในการแข่งขันด้านการป้องกันน้ำมันเครื่องซึมออกจากฝาต่อมาอีก 10 ปี



1923
มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทโดยการลบตัว "r" ออกจากคำว่า "motorcycle" จนกลายเป็น Indian Motocycle Company



1923
Indian (อินเดียน) เปิดตัวรถใหม่ Big Chief V-Twin ขนาด 74 ลบ.นิ้ว





1927
เปิดตัว Indian Ace รุ่น 4 สูบ





1928
Indian (อินเดียน) 101 Scout กลายเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ถูกเลือกในการแสดงมอเตอร์ไซค์ผาดโผน "Wall of Death" (มอเตอร์ไซค์ไต่ถัง)





ข้อมูลโดย... Indian Motorcycle Thailand



ติดตามความข่าวสารเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์อินเดียนได้ที่
www.facebook.com/IndianMotorcycleThailand


12
News Talk / Indian เปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่ "Thunder Stroke 111 Engine"
« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2013, 09:40:34 AM »

Indian Motorcycle สร้างเซอร์ไพรซ์ เปิดผ้าคลุมขุมพลังใหม่ เผยเตรียมใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกกับมอเตอร์ไซค์ปี 2014
ภายใต้การดูแลของ Polaris Industries

สำหรับเครื่องยนต์ตัวใหม่ล่าสุดนี้มีชื่อเรียกว่า “Thunder Stroke 111” นับเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดตัวล่าสุดในรอบ 70 ปี
ของบิ๊กไบค์ค่ายดัง Indian Motorcycle ที่เพิ่งเข็นออกมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายในงาน Daytona Beach Bike Weak เมื่อไม่นานมานี้

นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ Thunder Stroke 111 สามารถถือกำเนิดขึ้นได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี หลังจากที่ Polaris Industries เข้าซื้อกิจการ Indian แสดงให้เห็น
ถึงความมุ่งมั่นทุ่มเททั้งในเรื่องความหลงใหล ระยะเวลา และทรัพยากร ที่ Polaris ใส่ลงไปในการออกแบบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะเดียวกันการออกแบบใหม่ทั้งหมดครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนที่เหนือชั้นของ Polaris ในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์อันยาวนาน รวมไปถึงการศึกษาเอกสารบันทึกไมล์ของมอเตอร์ไซค์โบราณ และการเจาะลึกถึงข้อมูลจำนวนมากของโมเดลรถที่เป็นตำนานของ Indian โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้เครื่องยนต์ใหม่ถอดด้ามที่มีรูปลักษณ์และสมรรถนะที่โดดเด่นที่สุดใน
ประวัติศาสตร์ 112 ปี ของแบรนด์เก่า

สำหรับเครื่องยนต์ Thunder Stroke 111 ถูกสร้างขึ้นที่ Polaris Industries Engine Assembly Plant ในเมือง ออสซีโอล่า (Osceola) รัฐวิสคอนซิน ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบ มาจากเครื่องยนต์ V-Twin ที่เป็นขุมพลังของ Indian Chief ปี 1948 มาพร้อมภาพลักษณ์สไตล์วินเทจ ขณะเดียวกันก็มีความทันสมัยอยู่เต็มเปี่ยม



Thunder Stroke 111

ความจุเครื่องยนต์:  111 ลูกบาศก์นิ้ว (1,811 ซีซี)

แรงบิด:  มากกว่า 115 ฟุต-ปอนด์

รูปแบบ: V-Twin ทำมุม 49 องศา, ระบายความร้อนด้วยอากาศและน้ำมัน, อากาศเข้าด้านซ้าย, ระบบท่อไอเสียออกด้านล่าง, ก้านกระทุ้งแบบคู่ขนาน

แครงก์เคส:  ระบบหล่อลื่นแบบกึ่งอ่างแห้ง (semi-dry-sump) ปริมาณความจุสูง พร้อมหม้อน้ำมันขนาดใหญ่

ระบบจุดระเบิด: 3 เพลาลูกเบี้ยว, ก้านกระทุ้ง, 2 วาล์ว/สูบ ทำงานด้วยวาล์วไฮดรอลิค

ระบบจ่ายเชื้อเพลิง: หัวฉีดอิเล็คทรอนิกส์แบบ Electronic Sequential Port Fuel Injection (ESPFI), ระบบควบคุมการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า

อัตราส่วนกำลังอัด:  9.5:1

ระบบส่งกำลัง: เกียร์ 6 สปีด แบบ overdrive constant meshเฟืองฮีลิกซ์

คลัทช์:  คลัทช์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน, ปะเก็นอะลูมิเนียม, รับแรงบิดสูง

 


หน้า: [1]
Powered by SMF 2.0.10 | SMF © 2006–2009, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF || ©2005-2015 HD-Playground. All rights reserved. By Cycle Culture Ltd.Part. T: 02-320-0033