A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
 
[Trip Reviews]
 
HDP in California Part 3
By Lee
DATE: 2011.11.15
VIEW: 2169
POST: 0
 



เช้าวันที่ 3 ของการเดินทาง...


ที่โรงแรมนี้มีอาหารเช้าให้ด้วยครับ แต่เป็นแบบมื้อแก้ขัด... ลุงชาวอินเดียคนนี้เป็นคนดูแลโรงแรม ต่างจากลุงอินเดียที่ Rodeway ใน Inglewood หน้ามือเป็นหลังมือ ลุงคนนี้เขาอัธยาศัยดีมาก ๆ ครับ นี่กำลังเล่นกับลูกของแขกที่มาพัก...

เมื่อคืนตอนเช็คอินเข้าพักก็ชวนคุย ถามว่ามาจากไหน? จะไปไหน? พอเขาเห็นผมขี่ HD มาก็ถามว่า เป็นพนักงานของ Harley เหรอ? ผมบอกว่าเปล่า ผมเช่าของผมเอง แกเลยถามว่า เช่าวันละเท่าไหร่? พอผมบอกว่า วันละ 180 เหรียญ  แกร้องโอ้โห... ยูไม่รู้เหรอว่าเช่ารถถูกกว่านี้ตั้งครึ่งหนึ่ง แถมไม่ต้องมาทนหนาวอยู่อย่างนี้ด้วย ผมเลยบอกแกว่า รู้สิครับ... แต่ผมชอบขี่มอเตอร์ไซค์อ่ะ


ออกจาก Gilroy ถ้าจะขี่ขึ้น San Francisco ก็คงจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่อย่างนั้นมันง่ายไปครับ ไม่เหมาะกับพวกชอบหาเรื่อง เลยขี่วกกลับลงมาทางใต้อีกรอบนึง เพราะเมื่อคืนมองไม่เห็นวิว


อากาศเขตนี้จะขมุกขมัวตลอดแถมมีละอองน้ำทั้งวันครับ


ภาพจากกล้อง Go Pro สบายดี ไม่ต้องคอยหยิบกล้อง Sony ขึ้นมาถ่าย


ขี่วกกลับไปที่ Monterey อยากจะไปดูงาน Vintage Car ที่เขาบอกว่าคนแห่ไปกันเยอะ...


ถนนช่วงนี้จะเล็กลงกว่าช่วง Hiway ครับ เป็นเส้นย่อยแยกมาเข้า Monterey



ละอองน้ำเม็ดเล็ก ๆ จะเกาะเต็มชิลด์หน้า เพราะเป็นเมืองติดทะเล


มาตัดเข้าเส้น Highway 1 วิ่งเลียบทะเลอีกครั้ง




มาถึง Monterey ต้องมากินอาหารทะเล... แต่ผมมาถึงตอน 10 โมงเช้า เลยไม่รู้จะกินอะไร... แวะถ่ายรูปอย่างเดียวละกัน


สะพานปลาของที่นี่ เอากล้อง Go Pro ติดไว้ด้านหน้ารถ เลยได้ภาพช่วงเช้ามาเยอะหน่อย


ไม่แน่ใจว่าเจ้านี่เรียกว่า Albatross หรือเปล่า สงสัยมารอกินซากปลาจากเรือประมง...



ขับวนดูแล้วไม่เจองาน Vintage Car เลยแวะเติมน้ำมันเดี๋ยวไป Camel ดีกว่า มี Triumph แต่งแนว Old School สองคันขี่ผ่านหน้าไป เสียงดังลั่นเลย


ออกจาก Monterey มาแค่ไม่ถึง 20 นาที ก็มาที่เมือง Camel ด้านล่างสุดของเมืองจะเป็นชายหาด อากาศเย็นครับ นี่ขนาด Summer ยังหนาวจนเล่นน้ำไม่ได้ อย่างนี้ฝรั่งถึงชอบมาเที่ยวทะเลเมืองไทย...




ขี่วกขึ้นมาด้านบน จะเป็นเมืองตากอากาศเล็ก ๆ มีร้านสวย ๆ อยู่เพียบ



ฝุ่นไม่ค่อยมี รถเลยเงาแว๊บ!! เวลาจอดรถก็จอดได้เต็มช่อง เหมือนกับรถยนต์ 1 คัน ดีจริง ๆ



ที่ Camel เขาก็มี Meeting เล็ก ๆ ของคนใช้รถ Vintage Car กันครับ


รถคันนี้ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ แต่คันใหญ่จริง ๆ



ส่วนคันนี้มาเป็นก๊วน เป็น Electric Super Car ชื่อว่า Tesla



ภายในตามสไตล์ Super Car นั่งแล้วเมื่อยแน่นอน


เป็นรถใช้ไฟฟ้า 100% นะครับ ชาร์จเต็มทีนึงเห็นบอกว่าวิ่งได้ 150 ไมล์


มาจอดโชว์ แถมมีโต๊ะมาแจกโบรชัวร์ด้วยเผื่อมีคนสนใจ



มื้อเที่ยงของวันนี้ ขอเปลี่ยนมาเป็นอาหารของบรรพบุรุษซักหน่อย อาหารจีนใน Camel ครับ เจ้าของร้านเป็นคน Hong Kong อพยพมาอยู่ได้ 5 ปีแล้ว พอเข้าไปนั่งสั่งอาหาร เขาก็มองหน้าถามว่าคนจีนหรือเปล่า เลยบอกว่าเป็นคนจีนที่ไปเกิดในไทย อย่ามาชวนพูดจีนนะ เดี๋ยวยิ่ง งง เข้าไปใหญ่!! พอเห็นรถ เขาก็ถามอีก ขี่มาคนเดียวเหรอ? คันนี้ BMW หรือเปล่า? เออ... อยู่อเมริกาไม่รู้จัก HD แต่ดันรู้จัก BMW...


เลยเริ่มต้นด้วย ชาจีนร้อน ๆ กับซุปเนื้อปูแบบเสฉวน



อ่านเมนู เห็นมีหมี่ผัดเนื้อวัว กินแต่แฮมเบอร์เกอร์ทุกวัน อยากกินบะหมี่เลยสั่งมาซะ!!


อ่าน ไปอีกบรรทัด มีเนื้อวัวเจงกิสข่าน อุตส่าห์ถามว่าจานใหญ่ไหม แกบอกว่าไม่ใหญ่ แต่พอยกมาเสิร์ฟแล้วอยากห่อกลับไปกินมื้อเย็น จานเบ้อเริ่ม แถมมีข้าวสวยโปะมาให้อีก... แต่สรุปแล้ว ก็ฟาดเรียบทั้ง 2 จานครับ กินแต่อาหารฝรั่งมันเลี่ยน ได้มากินอาหารเอเซีย ค่อยยังชั่วหน่อย งานนี้ตั้งใจว่า มื้อเย็นได้กินอาหารไทยที่ร้าน Thai Basil ของพี่ตุ้ยใน SF หายอยากแน่นอน แต่สุดท้าย อดกิน!!


ออกจาก Camel คราวนี้วิ่งเลาะแปซิฟิกขึ้นไป Santa Cruz แต่ไม่ได้แวะเข้าไปชม มีเพื่อนร่วมทางขี่ HD อยู่ตลอดครับ


ออกจาก Santa Cruz ขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เส้นนี้ผมว่าสวยโรแมนติกดีจริง ๆ ถ้าขับรถแบบเปิดประทุนพาภรรยานั่งมาด้วยคงจะดี


ด้านซ้ายจะเป็นมหาสมุทรแปซิฟิก ยิ่งใหญ่จริง ๆ โลกใบนี้


ช่วงเลียบมหาสมุทร อากาศจะเย็นแล้วก็ไม่มีแดด เพราะเมฆจะก่อตัวเต็มไปหมด แต่พอตัดข้ามเขามาด้านใน แดดจะจ้า อากาศดี...


พอตัดข้ามมาปุ๊ป คราวนี้จะกลายเป็น อ่าวซานฟรานซิสโกอยู่ทางด้านขวามือแทน


ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้เมื่อวาน Dudley Perkins แห่ง South San Francisco ดีลเลอร์ Harley ที่เก่าแก่ที่สุด เริ่มมาตั้งแต่ปี 1914 ครับ


เดินเข้ามาจะพบกับมุมถ้วยรางวัล เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง


รถแข่งที่ได้รางวัลต่าง ๆ ของดีลเลอร์แห่งนี้



บนฝาผนังจะมีรูปภาพตั้งแต่อดีตติดอยู่เต็มไปหมด เขาเป็นดีลเลอร์มาจนปัจจุบันเป็น Generation ที่ 4 แล้วครับ


ชั้นสองจะเป็น Showroom มีทั้งรถ, อุปกรณ์ตกแต่ง, เสื้อผ้า, อะไหล่... ใหญ่ดีจริง ๆ



มุมของแต่งและอะไหล่ ที่นี่ผมได้พบกับ Brad เพื่อนของ Mr. Ruby แห่ง PHD@RCA เลยเช็คอะไหล่สำหรับเจ้า Black Springer ซะเลย


ตามมุมต่าง ๆ จะมีรถจอดโชว์อยู่ อย่างคันนี้เป็น Panhead ปี 1951


ส่วนนี่เป็น Police รุ่นเก่า น่าจะอยู่ในช่วงปี 86 - 90



รถแข่งทางทางเรียบในปี 1969 KR Flat Track Racer



รถสองจังหวะของ Harley ที่ถูกผลิตในปี 1952 Hummer ดูทรงแล้วคล้าย ๆ พวก MZ เลย


ส่วนคันนี้อยากได้มาขี่ซักรอบ Road Glide Ultra ดูอลังการดีจริง ๆ



ผนังทางเข้ามองมาจากชั้นสอง จะเห็นเครื่องยนต์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของ Harley วางโชว์จนสุดเพดาน


ทางเดินออกด้านหน้า จะมีบานกระจกให้มองเป็นส่วน Service พอดีมีลุงคนนี้กำลังซ่อมรถอยู่ พอแกเห็นผมยกกล้องขึ้นมาจะถ่ายภาพ เลยรีบหยิบเครื่องมือมาแอ๊คท่าใหญ่



สงสัยกลัวไม่หล่อ แกเลยทำไม้ทำมือบอกว่ารอเดี๋ยว... รีบไปหาหมวกมาสวม พร้อมกับทำท่าขันน็อตโชว์ซะเลย



ออกจาก Dudley Perkins วิ่งเข้าสู่ตัวเมือง San Francisco สายไฟของรถรางห้อยระโยงระยางเต็มถนนไปหมด แยกเยอะซะจนขี่ได้ไม่เกินเกียร์ 3 ก็ต้องเบรกติดไฟแดง


ตึกสมัยใหม่กับตึกสมัยเก่า สลับกันไปมา ดูแปลกตาดีครับ



เลยแวะมาที่ Dudley Perkins ในเมืองซะหน่อย ซื้อของที่ระลึกว่ามาถึง San Francisco แล้ว



สาขานี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับ Fisherman Dwarf ศูนย์รวมนักท่องเที่ยว มีคนเข้ามาซื้อของอยู่ตลอดเวลาครับ



ไหน ๆ ก็มาถึง SF แล้ว ถ้าพลาด Golden Gate ไปคงเสียดายแย่


วันนี้อากาศไม่เป็นใจ เมฆกลุ่มใหญ่ลอยมาจากทะเล บังสะพานซะมองเห็นแค่เสาสะพาน ถ้าเป็นวันฟ้าใส ๆ คงสวยมากแน่ ๆ



มองออกไปด้านหน้าจะเห็น Alcatraz อยู่ลิบ ๆ ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยว เพราะมัวแต่ขี่รถ


บริเวณนี้มีคนมาจัดปาร์ตี้, นั่งเล่น, กินข้าว, เด็กวิ่งเล่น วุ่นวายไปหมดครับ ถ้ามาตอนเช้า ๆ คงจะดี


อีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องทำคือ ขี่รถขึ้นสะพาน Golden Gate


เมฆหนาดีจริง ๆ มองออกไปฝั่งแปซิฟิกจะมองไม่เห็นอะไรเลย



เสียดายวันนี้เลยอดมองเห็นยอดสะพานเลย



ข้ามสะพาน Golden Gate มาเรียบร้อยแล้ว มองดูใน GPS จะเห็นมีอีกสะพานที่เชื่อมไปยังฝั่ง Richmond เลยหาเรื่องขับอ้อมไปดูซะหน่อย จริง ๆ แล้วถ้าวกกลับเข้ามาที่ฝั่ง SF ก็ได้แวะไปกินอาหารไทยสบายไปแล้ว อุตส่าห์ขับอ้อมเมืองไปอีก 20 ไมล์ ตอนนี้เวลา ทุ่มกว่า ๆ ได้ข้ามสะพานสมใจ...


สะพาน Richmond-San Rafael เป็นสะพานเหล็กแบบสองชั้นครับ.. ชั้นล่างข้ามจาก San Rafael ไป Richmond คุ้มค่าที่อุตส่าห์อ้อมเมืองมาขี่ข้าม เป็นสะพานที่ยาวมาก ๆ ขี่ไปทึ่งไป





มอง ไปด้านหน้าจะเห็นเมฆก่อตัวปิดท้องฟ้าซะมืดไปหมด ด้านนั้นคือ San Francisco ครับ แดดเริ่มหมด เพราะกว่าจะขี่ข้ามมาจนถึง Oakland ก็ 2 ทุ่มพอดี มาถึงช่วงนี้แล้ว แบตฯ ในตัวเริ่มหมด... ขี่ตาม GPS บอกให้เลี้ยวขวา ก็หลงไปตรง ต้องอ้อมไปกลับรถอีก 5 ไมล์ กลับมาได้บอกให้เลี้ยวซ้าย ก็วิ่งตรงไปอีกฝั่ง ต้องเสียเวลาไปอีก ขี่ซะมึน... พอจะขี่ข้ามสะพาน Bay Bridge เพื่อที่จะกลับไปกินอาหารที่ Thai Basil ก็มืดพอดี แถมด้วยรถติดยาวเหยียดเป็นกิโล เลยต้องยอมแพ้ วกกลับมาที่ฝั่ง Oakland หาของกินตามยถากรรม 
 

กว่าจะวนหาโรงแรมที่พักเจอก็ร่วม ๆ 3 ทุ่ม แถมด้วยพนักงานหาชื่อที่จองเอาไว้ไม่เจอ เพราะมาสายไป 1 วัน
สุดท้ายก็ต้องกลับมาคบกับ Jack in the Box เหมือนเดิม



เมือง Oakland จะเป็นเมืองอุตสาหกรรม ต่างจากทางฝั่ง San Francisco พอตกดึกก็จะค่อนข้างเปลี่ยว ยิ่งขี่มอเตอร์ไซค์มาคนเดียว ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยจะปลอดภัยซักเท่าไหร่ จอดรถไว้หน้าร้าน เข้าไปนั่งกินอาหารในร้าน พนักงานยังต้องปิดประตูร้านไว้เลย ถ้าใครจะมาเที่ยว แนะนำให้หาที่นอนฝั่ง SF จะดีกว่าครับ



และแล้วก็ได้เข้าที่พักตอน 4 ทุ่มกว่า เริ่มขี่ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ทริปนี้ตะบี้ตะบันขี่จริง ๆ 

 

 

 

Share   Like
Comments