พี่จุ๊บกับ Cross Country Tour...
เทียบขนาดกับ Vision Tour อยู่กันไปนานๆแล้วรถมันเริ่มคันเล็กลงแฮะ..
ช่วงลงเขา ได้ลองโค้งอย่างเต็มที่.. ถึงได้รู้ว่า Victory เป็นรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เวลาพลิกรถเข้าโค้งจะทำได้รวดเร็วทันใจ
ในช่วงโค้งกว้าง ความเร็วประมาณ 120-160 กม./ชม. สามารถโหนเข้าได้ทั้งตัว ตอนแรกมีเหวอๆ คุ้นกับการเบนปลายเท้าออกจาก Floor Board เอาไว้เป็นตัว Sensor
แต่สำหรับ Victory แบนได้มากกว่าที่เคยขี่ได้อีกเยอะ Floor Board ไม่ครุดกับพื้น.. ไม่ต้องเสียงเอาปลายเท้าไปเป็นตัว Sensor อีกต่อไป
ส่วนโค้งแคบ ความเร็วต่ำ ใช้วิธีโยกรถลงอย่างเดียว เหมือนๆกับการขี่รถประเภท Dual Purpose.. พยายามโหนอยู่ตั้งนาน จนรถจะพับ..
แต่พอเปลี่ยนวิธีเข้าโค้งปุ๊ป คราวนี้เนียน โค้งเล็กๆ แคบๆ ซ้ายขวา ก็กลายเป็นเรื่องสนุกไปเลยครับ number1
ชอบจริงๆกับการแวะถ่ายรูปตามหัวโค้งบนเขา.. เผื่อมีรถแหกโค้งเข้ามาซักคัน คงได้ภาพน่าตื่นเต้นมาฝาก หรือไม่ก็ไม่มีโอกาสมาโพสท์แทน
เริ่มรู้ตัวว่า ถ้ามัวแต่โอ้เอ้ อาจจะมืดกันบนเขา.. ดวงอาทิตย์เริ่มลอยลงต่ำเรื่อยๆแล้ว
แวะหาทางกลับลงไปด้านล่าง เพราะเส้นทางปกติที่เคยใช้ดันปิดทำถนน..
อุตส่าห์จะหาที่จอดเปิดแผนที่ดูซะหน่อย.. มาเจอป้ายอันนี้เลยเปลี่ยนใจ ไม่จอดก็ได้ฟะ
คนทำทางชี้ให้กลับขี้นมาอีกทางนึง เลยต้องขี่ย้อนขึ้นเขามาเจอกับถนนที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆ..
อากาศเย็น แถมมีละอองน้ำปนมาระหว่างขี่ผ่าเข้าไปในกลุ่มเมฆ..
กลิ่นไม่ค่อยจะสดชื่นซักเท่าไหร่.. น่าจะเป็นกลุ่มเมฆที่ผ่านตัวเมือง L.A. เลยมีกลิ่นเค็มๆแปลกๆ surrender
ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า.. กำลังไต่เขากลับลงมาที่พื้นราบพอดี.. วันนี้ได้ขี่รถถ่ายรูปแดดสุดท้ายอีกแล้ว
หลังจากลงมาทางฝั่ง San Bernadino ได้เรียบร้อย ก็ขี่เข้า Freeway มุ่งหน้ามา Palm Spring ตอนกลางคืน..
ก่อนเข้า Palm Spring โดนพายุทรายขนาดจิ๋วเล่นงานให้ งง เล่นๆ.. เกิดมาไม่เคยเจอ อยู่ๆก็มีทรายปลิวเข้าหน้าเต็มไปหมด..
ถ้าไม่ได้ Wind Shield ขนาดใหญ่ให้เอาหัวมุดเข้าไปหลบ สงสัยคงจะแย่ครับ.. ทรายเม็ดละเอียดๆ ถ้าเข้าลูกตาหล่ะ ตะเกียงดับแน่นอน.. คิดแล้วเสียว sick
จบทริปของวันที่ Palm Spring โชคดีที่ผ่านไปเจอร้านอาหารไทยได้ฝากท้อง แถมโชคดีซ้ำสองที่เจ้าของร้านเป็นเพื่อนพี่จุ๊บไปซะงั้น โลกช่างกลมเสียจริงๆ boogie
เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปขี่เลียบชายแดนเม็กซิโก กับไปดูทะเลสาบกลางทะเลทรายกันครับ