หากจะพูดถึงสิ่งที่นักขี่อาจจะพบเจอกับเหตุการณ์หรือวิธีการต่างๆโดยบังเอิญจนเกิดเป็นความเข้าใจส่วนตัวแล้วนำมาบอกเล่าต่อๆกันมาจากนักขี่สู่นักขี่ด้วยกันแล้วแน่นอนว่าจะหลายๆคนต้องเคยได้ยินความเชื่อเหล่านี้กันมาบ้างแล้วอย่างแน่นอน เราจะมาวิเคราะห์กันให้ชัดขึ้นอีกสักนิดว่าความเชื่อต่อไปนี้มันถูกต้องแล้วหรือยัง และมันจะเป็นไปตามที่บอกเล่าต่อๆกันหรือไม่
Mold Release
อุบัติเหติจากที่มักจะเกิดขึ้นกับนักขี่เปลี่ยนยางล้อใหม่จึงเกิดเป็นความเชื่อที่ว่ายางล้อพวกนี้จะมีการฉีดเคลือบสารหล่อลื่นลงไปที่แม่พิมพ์ยางล้อก่อนที่จะมีการฉีดน้ำยางเหลวเพื่อขึ้นรูปเป็นยางล้อเพื่อให้ง่ายต่อการแกะยางล้ออกจากแม่พิมพ์ ซึ่งเจ้าสารหล่อลื่นที่ว่านี้ก็มักจะตกเป็นจำเลยของการเกิดอุบัติเหตุในช่วงกิโลเมตรแรกๆหลังจากเปลี่ยนยางใหม่ ซึ่งความจริงแล้วผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Dunlop อย่าง Mike manning ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าไม่มีการฉีดสารหล่อลื่นใดๆลงบนแม่พิมพ์ในขึ้นตอนดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับคำบอกเล่าของ Kevin Hurley Senior Manager ฝ่าย Motorcycle and Kart products จาก Bridgestone Americas ที่ว่า “เมื่อสิ้นสุดขึ้นตอนแล้วยางล้อจะสามารถแกะออกจากแม่พิมพ์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฉีดสารหล่อลื่นใดๆทั้งสิ้นลงบนแม่พิมพ์”
ส่วนสิ่งที่ทำให้ยางล้อลื่นจนเกิดอุบัติเหตุนั้นคือการที่ยางล้อใหม่ยังไม่ได้รับความร้อนจากใช้งานจึงอยู่อยุ่ในสภาพที่ยังไม่เหมาะสมเต็มที่ หลังจากการเปลี่ยนยางล้อใหม่ การบังคับรถจะมีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรจนกว่ายางล้อจะเข้าที่ แต่พฤติกรรมการขี่ของนักขี่นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย และยังคงเข้าโค้งในแบบที่เคยทำ บังคับรถในลักษณะเดียวกับตอนที่ใช้ยางล้อเก่าซึ่งมันเข้าที่เข้าทางจากการขี่มาแล้วหลายกิโลเมตร ซึ่งนี่คือสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุที่แท้จริง ดังนั้นสิ่งที่นักขี่ควรทำหลังจากเปลี่ยนยางล้อคือการปรับพฤติกรรมการขี่ ค่อยๆเพิ่มความร้อนให้กับยางล้อและใช้เบรกให้บ่อยขึ้น ในช่วง 160 กิโลเมตรแรก และหลีกเลี่ยงการเร่งความเร็วและเบรกอย่างฉับพลัน รวมถึงการเข้าโค้งหนักๆ ซึ่งจะช่วยปรับพฤติกรรมการขี่ให้คุ้นเคยกับการขี่หลังจากเปลี่ยนยางล้อใหม่อีกด้วย
หมวกกันน็อก
มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า “หมวกกันน็อกผ่านการทดสอบมาตรฐานกับความเร็วเพียง 13 mph เท่านั้น แล้วจะหวังพึ่งพาการปกป้องอะไรกับอุปกรณ์ประเภทนี้จากความเร็วที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ล่ะ” คำพุดที่ว่านี้เป็นถือเป็นข้ออ้างโบราณที่ถูกยกมาใช้ประกอบเหตุผลการไม่สวมหมวกกันน็อก ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจาก Dave Thom สำนักสถิติด้านความปลอดภัยในการใช้งานมอเตอร์ไซค์ Harry Hurt แล้วความเร็ว 13 mph ที่พูดถึงนั้นคือความเร็วของวัตถุที่ตกลงพื้นในแนวดิ่งจากความสูง 6 ฟุตและความเร็วจะอยู่ที่ 13.4 mph หรือให้เข้าใจง่ายๆก็คือ 13.4 mph เป็นความเร็วที่เกิดขึ้นในกรณีที่นักขี่ทิ้งตัวจากบนเบาะนั่งลงกับพื้นนั่นเอง
ส่วนโอกาสที่จะปะทะด้วยความเร็วที่ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่ค่าเฉลี่ยอย่างต่ำคือ 60 Mph จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก อีกทั้งอุบัติเหตุจะเกิดในลักษณะที่ศีรษะของนักขี่จะกระแทกกับพื้นเป็นส่วนมากด้วยความเร็วที่อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า 13.4 mph แต่ความสูงนั้นจะอยู่ที่ 6 ฟุตพอดี แน่นอนว่าไม่มีอุปกรณ์ป้องกันชิ้นไหนทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่การใช้งานอุปกรณ์ป้องกันเหล่านี้ ย่อมปลอดภัยกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่อไอเสียดังๆช่วยปกป้องชีวิตนักขี่ได้
ความเชื่อนี้ยังเป็นข้อถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งไอเดียท่อดังนี้มักจะมีเหตุที่มากจากความต้องการให้ผู้ใช้รถยนต์ได้รับรู้ถึงตัวตนของเหล่านักขี่ ซึ่งคนขับรถยนต์ส่วนใหญ่จะไม่สังเกตเห็นและรับรู้ว่ามีมอเตอร์ไซค์ตามหลังมา และยังมีจำนวนไม่น้อยที่จดจ่ออยู่กับการใช้โทรศัพท์ หรือคอยดุเด็กๆที่มักจะเล่นซนกันอยู่ตรงเบาะหลังจนไม่ทันสังเกตว่ามีมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้าจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นท่อดังก็ช่วยให้จะช่วยเซฟชีวิตได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วอุบัติเหตุที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ไม่ว่าจะมาจากการที่รถยนต์เปลี่ยนเลนกะทันหัน เลี้ยวโดยไม่เปิดไฟสัญญาณและอื่นๆนั้น ล้วนเกิดแบบประทันหันซึ่งต่อให้ท่อไอเสียเสียงดังมากแค่ไหนแต่นักขี่กลับขี่อยู่ในจุดอับสายตาก็ไม่ใช่ให้หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ แถมคนขับรถยนต์หลายๆคนก็ยังเปิดเพลงในรถเสียงดังจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ท่อไอเสียเสียงดังๆนั้นไม่สามารถเตือนให้คนขับรถยนต์รับรู้ถึงตัวตนของเหล่านักขี่บนท้องถนนได้ และยังพบข้อมูลจากการวิจัยอีกจำนวนมากที่แสดงถึงประสิทธิผลของการสวมหมวกกันน็อกและเสื้อผ้าสีสันสดใส รวมถึงการใช้ไฟหน้าที่สว่างๆกว่าปกติ และแสงสะท้อนที่เกิดจากพาร์ทที่เป็นโครเมียมของรถช่วยแจ้งเตือนเหล่าคนขับรถยนต์ให้รับรู้ถึงตัวตนของนักขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะอย่างไรตามการขี่อย่างมีสติ เคารพกฎจราจร หลีกเลี่ยงจุดอับสายตาของคนขับรถยนต์ ลดความเร็วเมื่อเข้าใกล้ทางแยก รักษาระยะห่างจากรถคันหน้าพร้อมเตรียมช่องทางในกรณีฉุกเฉินเอาไว้ก็จะช่วยให้ชีวิตบนมอเตอร์ไซค์ปลอดภัยขึ้นกว่าที่เคยเสี่ยงอย่างแน่นอน
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... motorcyclistonline.com