HDP ได้มีโอกาสทำการทดสอบรถ Softail 2018 ตามคำเชิญของ Harley-Davidson Thailand โดยได้เดินทางไปร่วมทดสอบรถกับผู้สื่อข่าวจากเอเซียอย่าง ไต้หวัน, สิงคโปร์, จีน และเกาหลีใต้ ที่ประเทศสเปน ในเส้นทางที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างเขตภูเขาของ Catalonia เมือง Seva ใกล้ๆกับ Barcelona โดยการทดสอบในครั้งนี้มีรถที่ให้ทดลองขี่ถึง 4 รุ่นด้วยกันคือ Street Bob, Breakout, Heritage และ Fat Bob ซึ่งรถแต่ละคัน ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันตามอุปกรณ์และท่าทางการขี่ รวมไปถึงเส้นทางที่เรียกได้ว่าสามารถรีดเอาสมรรถนะของรถออกมาได้อย่างเต็มที่กับพื้นถนนที่เรียบกริบ มีการยกองศาของพื้นถนนให้รับกับแนวการเทโค้ง และจำนวนรถในเส้นนี้ที่น้อยซะจนบางครั้งแทบจะไม่มีรถวิ่งสวนทางกันเลยทีเดียว
Softail หนึ่งในตระกูลรถ Cruiser ขนาดกลางของ Harley-Davidson ที่เริ่มต้นเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1984 โดยใช้เครื่องยนต์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นอย่าง Evolution ซึ่งได้แนวคิดมาจากเฟรม Hardtail ที่ไม่มีระบบกันสะเทือนหลังในอดีต แต่ใน Softail จะมีการนำเอาโช๊คอัพคู่มาวางนอนอยู่ในเฟรม ทำให้เกิดเส้นสายของเฟรมที่ดูแตกต่างจากรถรุ่นอื่นๆของ Harley-Davidson และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านเครื่องยนต์ที่จับเอา Twin Cam 88B มาลงใน Softail สำหรับปี 2000 และต่อเนื่องมาจนถึง Twin Cam 103 แต่ในที่สุด Harley-Davidson ก็ได้ทำการพัฒนาเฟรม Softail แบบใหม่หมดจด พร้อมๆกับการควบรวมรถในตระกูล Dyna มาไว้ด้วยกันในปี 2018 โดยจับเอาเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปในโมเดลปี 2017 ภายใต้ตระกูล Touring อย่าง Milwaukee Eight ที่มีให้เลือกขนาดความจุของเครื่องยนต์ถึง 2 ขนาด ทั้ง 107 cu.in. และ 114 cu.in.
ระบบเฟรมใหม่ของ Softail 2018 ได้ปรับเปลี่ยนระบบโช๊คอัพคู่ที่วางอยู่ใต้เฟรมในแบบเก่า ให้กลายมาเป็นโช๊คอัพเดี่ยว วางเฉียงอยู่ใต้เบาะนั่งซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนระดับ Preload ของสปริงจากปุ่มหมุนด้านข้างในบางรุ่น ทั้งปรับเปลี่ยนขนาดของตัวรถให้มีขนาดที่เล็กลง ทำให้เหมาะกับไซซ์เอเซียอย่างเราๆมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการออกแบบเครื่องยนต์ใหม่อย่าง Milwaukee Eight ที่นำเอาถังน้ำมันเครื่องที่จากเดิมอยู่ใต้เบาะนั่ง มาอยู่ด้านท้ายของตัวเครื่องยนต์แทน ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่ต่ำลงกว่าเดิม พร้อมกับน้ำหนักรวมของตัวรถที่ลดลงจาก Softail รุ่นเก่า ทำให้ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ทดลองนั่งและยกรถตั้งตรงแตกต่างจากรุ่นเก่าอย่างชัดเจน
Street Bob
ก่อนหน้านี้ Street Bob อยู่ในตระกูล Dyna และเป็นตัวเริ่มต้นของตระกูลที่ขี่ง่าย รวมไปถึงราคาเปิดตัวที่ต่ำที่สุด เมื่อมาถึง Softail 2018 ที่ไม่มีตระกูล Dyna อีกต่อไป โมเดล Street Bob ก็ถูกจัดให้เป็นรถในขนาดเริ่มต้นของตระกูลอีกเหมือนเดิม กับราคาเปิดตัวในประเทศไทยที่ 990,000 บาท โดยมีขนาดเครื่องยนต์ให้เลือกเพียงแค่ 107 cu.in. เท่านั้น
แฮนด์ของ Street Bob ยังคงใช้แบบ Mini Ape พร้อมกับ Foot Control ที่อยู่ในตำแหน่ง Mid Control เบาะนั่งเดี่ยว เรือนไมล์ติดตั้งอยู่บริเวณฝาครอบตุ๊กตาแฮนด์ ล้อซี่ลวดหน้าขนาด 19” และล้อซี่ลวดหลังขนาด 16” ที่ใช้หน้ากว้างเพียง 150mm.
โชคดีที่ได้เริ่มทดสอบ Street Bob เป็นคันแรก ทำให้การปรับตัวเรียนรู้รถ Softail 2018 เป็นไปด้วยความรวดเร็วในเส้นทางที่เริ่มต้นก็โหนโค้งซะพักเท้าเกือบครูดพื้น Street Bob สามารถบังคับรถได้ง่าย จุดศูนย์ถ่วงที่อยู่ต่ำของรถรุ่นใหม่ ระยะเบาะนั่งกับแฮนด์ที่อยู่ในตำแหน่งที่เอื้อมถึงได้ง่าย ทำให้เป็นรถที่เหมาะมากกับการทำความรู้จักกับ Softail 2018 ถึงแม้ขนาดเครื่องยนต์ของ Street Bob จะมีมาให้เพียงแค่ขนาด 107 cu.in. เท่านั้น แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ลดลง และระบบเครื่องยนต์แบบใหม่ของ Milwaukee Eight ทำให้มีแรงบิดเหลือเฟือในย่านการขี่แทบทุกรอบของเครื่องยนต์
Breakout
คันที่สองที่ทำการทดสอบเป็นรถที่ล้อหลังเปลี่ยนมาเป็นขนาด 240mm. ล้อหน้าขนาด 21” หน้ากว้าง 130mm. กับองศาแผงคอหน้าที่เบนมากที่สุดของตระกูล ระบบพักเท้าแบบ Forward Control มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด 107cu.in. และ 114cu.in. แน่นอนว่าต้องเลือกขี่รถเครื่องใหญ่เอาไว้ก่อน อัตราเร่งของเครื่องขนาด 114cu.in. แตกต่างจาก 107cu.in. อย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยขนาดล้อหลังที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนท่าทางการขี่ใหม่หมด
วิธีการทิ้งโค้งของ Breakout จะต่างจากตัวเริ่มต้นอย่าง Street Bob ที่ต้องทิ้งน้ำหนักไปที่เอวมากขึ้น และไม่เหมาะเท่าไรนักกับการที่ต้องเล่นกับโค้งแคบในภูเขา แต่ถ้าเอา Breakout ไปขี่เล่นในเขตเมือง คาดว่าจะทำให้หลายๆสายตาบนถนนต้องหันมามองกับรายละเอียดของตัวรถที่ดูหมดจด สีโครเมี่ยมของเครื่องยนต์ ชุดสีบนถังน้ำมันและบังโคลน ล้อแมคติดรถสีดำตัดกับปัดเงาที่ให้มาจากโรงงาน ไฟหน้า LED ที่ดีไซน์ดวงโคมแบบกากบาท แฮนด์ Drag Bar ที่ทำให้ท่าขี่ของ Breakout ทะมัดทะแมงยิ่งขึ้น กับค่าตัวเริ่มต้นที่ 1,469,000 บาท
Heritage Classic
รถคันที่ 3 สำหรับการทดสอบรอบนี้ เป็นรถที่เหมาะที่สุดสำหรับการออกเดินทางไกล ด้วยอุปกรณ์ติดรถอย่าง Wind Shield หน้าที่กันลมปะทะได้อย่างดี พร้อมๆกับกลไกการถอดที่ง่ายดายโดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม ไฟหน้าแบบ LED พร้อมกับไฟ Spot Light คู่ LED ที่ติดมาให้จากโรงงาน แฮนด์แบบ Mini Ape พักเท้าแบบ Foot Board เบาะนั่งที่หนานุ่มที่สุดในตระกูล และ Cruise Control ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สามารถช่วยให้การออกทริปที่ต้องค้างความเร็วเป็นเวลานานโดยไม่ต้องเมื่อยข้อมือ ล้อหน้า-หลังขนาด 16” แบบซี่ลวดทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับรถในแบบ Touring ของ Harley-Davidson กับราคาเริ่มต้นในเมืองไทยที่ 1,459,000 บาท เหมาะที่จะเป็นทางเลือกสำหรับรถในแบบทัวริ่งขนาดกลางถ้าเทียบกับกลุ่มตระกูล Touring แบบเต็มตัว
การเข้าโค้งของ Heritage Classic ทำได้ดีทั้งโค้งแคบและโค้งกว้าง อาจจะมีเพียงแค่พักเท้าแบบ Foot Board ที่ยังคงครูดกับพื้นถนนได้ง่ายที่สุดแม้จะมีการปรับตำแหน่งของพักเท้าให้แตกต่างจากรุ่นเก่าแล้วก็ตาม กระเป๋าข้างที่ให้มากับตัวรถเป็นระบบใหม่ที่สามารถปิดได้ด้วยมือเดียว และมีระบบล็อคเพื่อป้องกันของมีค่าที่เก็บอยู่ในกระเป๋าได้ ตัวโครงกระเป๋าเป็นพลาสติกด้านในแต่ถูกหุ้มด้วยหนังสีดำ ทำให้ยังคงได้อารมณ์ความรู้สึกของ Heritage รุ่นเก่าแต่ใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
Fat Bob
หนึ่งในอดีตรถในตระกูล Dyna ที่กลับมาใหม่ใน Softail 2018 กับหน้าตาที่ดุดันที่สุดในตระกูล Fat Bob เป็นรถที่นักข่าวแทบทุกคนเลือกที่จะขอทดสอบขี่เป็นคันแรก แต่จากการจัดลำดับการขี่ของทาง HD ทำให้ผมได้มาเจอกับรถโมเดลนี้เป็นคันสุดท้าย ซึ่งกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับรถได้ ก็ใช้เวลาเกือบ 10 นาที กับแฮนด์แบบ Drag Bar พักเท้าก้ำกึ่งระหว่าง Mid และ Forward ล้อหน้า-หลังขนาด 16” ที่ล้อหน้ากว้าง 150mm. ส่วนล้อหลังกว้าง 180mm. ดอกยางลายแปลกตาแต่ดุดันเข้ากับรถอย่างที่สุด บังโคลนหลังหั่นสั้น ท่อไอเสียเชิดขึ้นบน ทำให้เห็นนักขี่สตั๊นท์หลายคนใน USA เอาไปยกล้อเล่นบนถนน โช๊คหน้าแบบหัวกลับ โช๊คหลังที่มีปุ่มปรับ Preload ติดตั้งมาให้ กับความสูงจากพื้นที่มากที่สุดในตระกูล
ทำให้หลังจากปรับท่าทางการขี่ลงตัวเรียบร้อยแล้ว Fat Bob สามารถที่จะรีดสมรรถนะของเฟรมรุ่นใหม่ตัวนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งโค้งกว้างที่สามารถโหนเข้าโค้งได้อย่างเต็มที่ หรือโค้งแคบที่กดรถลงได้แบบไม่ต้องกลัวพักเท้าจะครูดพื้น ยิ่งมาเจอกับเครื่องยนต์ขนาด 114cu.in. ด้วยแล้ว กับอัตราเร่งที่มากขึ้น ยิ่งทำให้การขี่ Fat Bob ทำได้สนุกจนแทบอยากจะเอากลับไปบ้านด้วยซักคัน เครื่อง Milwaukee Eight ของ HD ตัวนี้ยังคงให้อารมณ์ของ Engine Brake แบบ V-Twin ที่คุ้นเคย ทำให้การกะจังหวะเร่งแซงรถยนต์บนภูเขาในเขต Seva เหมือนๆกับการขี่รถในเขตภูเขาแถบจังหวัดระนองของบ้านเรากันเลยทีเดียว สำหรับราคาเริ่มต้นที่ 1,299,000 บาท น่าจะคุ้มค่ากับสมรรถนะของ Fat Bob โมเดลปี 2018 ที่ให้อารมณ์การขี่ที่ดุดัน สนุกสนาน และโดดเด่นอีกคันหนึ่งของตระกูล
สำหรับผมแล้ว เครื่องยนต์ Milwaukee Eight ตัวใหม่ของ HD ถ้าเทียบกับเครื่องยนต์ตัวเก่าอย่าง Twin Cam ต้องบอกว่า HD สร้างเครื่องยนต์ตัวนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นับจาก Evolution ที่ได้รับการยอมรับจากแฟนๆของ HD ว่าเป็นเครื่องยนต์ในยุคใหม่ที่ให้อารมณ์ในแบบฉบับของ HD ได้อย่างลงตัวที่สุด ด้วยระบบ Cam เดี่ยวของ Milwaukee Eight ที่กลับไปเหมือนกับ Evolution หน้าตาของเครื่องยนต์ที่เพรียวขึ้น หัวเครื่องที่มีส่วนโค้งส่วนเว้า อารมณ์และเสียงของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบาที่ทำมาให้ต่ำจากโรงงาน แรงบิดและกำลังของเครื่องยนต์ที่มีมาให้อย่างเหลือเฟือ ต้องลองเองแล้วจะบอกได้ถึงความแตกต่างตั้งแต่เบิ้ลเครื่องกันเลยทีเดียว
เสียดายที่การทดสอบรอบนี้ จากเดิมที่ HD เตรียมให้ขี่อย่างเต็มอิ่ม 2 วันเต็มๆ ต้องหดมาเหลือแค่วันเดียว เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจ แต่สุดท้ายแล้วกับทีมงานมืออาชีพของ HD ก็สามารถทำให้การทดสอบในครั้งนี้ทำได้อย่างเต็มที่ ได้ทดสอบขี่ครบทุกคัน และตอบคำถามต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวรถได้อย่างหมดจดครบถ้วน ต้องขอขอบคุณ Harley-Davidson Thailand ที่ให้โอกาส HDP ได้ทดสอบรถในตระกูล Softail 2018 ในเส้นทางที่สวยงามของประเทศสเปนในครั้งนี้ครับ
บทความโดย Lee HDP