หากว่าศิลปะคือสิ่งที่ท้าท้ายให้คนดูได้วิเคราะห์ถึงองค์ประกอบและการตีความหมายที่ซ่อนอยู่ออกมาแล้วล่ะก็ ทำไมถึงไม่นับว่ารอยสักเป็นศิลปะล่ะ นี่คือคำถามที่มีการถกเถียงกันมานานแสนนาน ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนตอบคำถาม เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าที่มาของรอยสักนั้นมาจากจุดประสงค์ที่หลากหลาย และส่วนมากรอยสักจะมาจากภาพลักษณ์แย่ๆเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของผู้ถูกลงทัณฑ์ หรือเหล่าคนนอกกฎหมายที่ต่างก็มีรอยสักกันเป็นส่วนใหญ่
แม้ในปัจจุบันสังคมโลกจะเข้าใจว่ารอยสักนั้นเป็นศิลปะกันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีคนที่ยังคงมองว่ารอยสักนั้นคือจุดด่างพร้อยของชีวิต และเป็นสัญลักษณ์คือสิ่งไม่ดีอีกหลายคน ดังนั้นคำถามที่มีการถกเถียงกันมานานก็จะยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเป็นคำตอบเดียวอีกนาน แต่สำหรับกลุ่มคนที่ให้คำตอบว่ารอยสักคือศิลปะแล้วล่ะก็ มันคือศิลปะบริสุทธิ์ที่ไร้รูปร่างและรูปแบบที่ตายตัว ดังนั้นการสักของคนเหล่านั้นเปรียบได้กับศิลปะแบบ fine art ที่เปลี่ยนร่างกายของตัวเองให้เป็นผืนผ้าใบ แต่ถึงแม้ว่าการตีความของรอยสักนั้นจะเป็นศิลปะที่ไร้รูปร่างรูปทรงตายตัว แต่รอยสักทุกรอยบนเรือนร่างของแต่ละคนนั้นจะแฝงไปด้วยความหมายรวมถึงบุคลิกที่แสดงถึงตัวตนของคนนั้นๆได้อย่างชัดเจน
เมื่อรอยสักกลายเป็นศิลปะ การออกแบบ การวางตำแหน่ง รวมถึงการจัดองค์ประกอบจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น ซึ่งความสมดุลของสิ่งเหล่านี้ส่วนมากจะแสดงถึงความสัมพันธ์กันของรอยสักต่างๆที่ประทับบนร่างกาย ซึ่งในมุมของช่างสักแล้วรอยสักนั้นจะมีภาษาที่เป็นของตัวมันเองและการสร้างศิลปะรูปแบบใหม่ออกมาก็เหมือนกับการได้สนทนากับใครสักคนหนึ่งด้วยคำศัพท์ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ จริงๆแล้วเราจะบอกให้คนอื่นๆเข้าใจได้อย่างไรว่ารอยสักนั้นคือศิลปะ คำตอบนั้นง่ายมากๆ ก็คือเริ่มต้นที่คำถามเดิมๆสิว่า “ศิลปะคืออะไร” หากช่างสักและเจ้าของรอยสักมองว่ามันคือศิลปะ มันก็จะเป็นศิลปะ และรอยสักนั้นก็มีเทรนด์ มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับศิลปะรูปแบบและแขนงอื่นๆ เพราะมันคือชิ้นงานที่เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้ทักษะร่วมกับอุปกรณ์โดยคำนึงถึงตำแหน่ง รูปแบบการจัดวาง ความวิจิตร และสไตล์นั่นเอง
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... artsy.net