มนุษย์คิดค้นการสร้างเครื่องหมายที่จะติดอยู่บนร่างกายอย่างถาวรออกมาได้สารพัดวิธี และรอยสักก็เป็นหนึ่งในวิธีที่หลากหลายนั้นซึ่งร่องรอยที่ติดอยู่บนร่างกายก็ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งต้นกำเนิดนั้นก็มาจากจุดประสงค์อันหลายหลายขึ้นอยู่กับความเชื่อและวิถีชีวิตรวมถึงสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีทั้งการใช้รอยสักเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงเผ่าพันธุ์ สัญลักษณ์ทางศาสนา เครื่องหมายแสดงความรัก ตราประทับสำหรับผู้ถูกลงทัณฑ์ หรือใช้แทนเครื่องราง ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่มีนัยทางวัฒนธรรมด้วยกันทิ้งสิ้น
ในแง่ของความเชื่อและศาสนานั้น รอยสักก็ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเชื่อของแต่ละบุคคลที่เรียบง่ายที่สุด แม้ว่ารอยสักจะเป็นศิลปะที่ผู้สักมีอิสระในการแต่งแต้มร่างกายของตนแต่ก็ใช่ว่ารอยสักจะไม่มีข้อจำกัดใดๆเลยสำหรับผู้นับถือในแต่ละศาสนา เพราะบางศาสนาผู้ที่ประทับรอยสักลงบนร่างกายก็จะมีข้อห้ามตามหลักศาสนาอยู่บ้าง หรือแม้การมีรอยสักถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับบางศาสนาเลยเสียด้วยซ้ำ ซึ่งรอยสักกับศาสนิกชนของในแต่ละศาสนาจะออกมาในรูปแบบดังต่อไปนี้
ศาสนาคริสต์ Christianity
แม้ว่าสำหรับชาวคริสเตียนที่เคร่งศาสนามากๆนั้นรอยสักถือเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ก็ยังเป็นข้อยกเว้นสำหรับชาวคริสเตียนผู้เคร่งศาสนาส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน กล่าวคือมีการตีความจารึกในพระคัมภีร์ออกมาได้หลายลักษณ์ บ้างก็ตีความเอาคำว่าการสัญลักษณ์บนร่างกายนั้นคือสิ่งต้องห้าม และอีกกลุ่มหนึ่งตีความออกมาได้ว่าการมีสัญลักษณ์บนร่างกายที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นนั่นต่างหากคือสิ่งต้องห้าม แต่ก็ยังมีความเชื่อสำหรับชาวคริสเตียนอีกจำนวนมากที่เชื่อว่ารอยสักคือสัญลักษณ์หนึ่งที่นำเสนอทั้งศรัทธาและความเชื่อของตนที่มีต่อศาสนาซึ่งมาพร้อมกับความงดงามเชิงศิลปะ โดยรูปแบบของรอยสักนั้นก็จะดัดแปลงมาจากคัมภีร์ไบเบิล เช่น กางเขน พระแม่มารี หรือพระคริสต์ และอื่นๆ
ศาสนายูดาย Judaism
สำหรับมุมมองที่มีต่อรอยสักชาวยิวนั้นก็จะเป็นตีความจากจารึกในคัมภีร์โทราห์เช่นกันว่าด้วยชาวยิวยังมีความเชื่อที่ว่าร่างกายนั้นคือสิ่งที่พระเข้าเป็นผู้ประทานให้ ดั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพอย่างถาวรของตนนอกเหนือจากการขลิบสำหรับผู้ชายนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ก็ยังมีแนวคิดที่ว่ารอยสักถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการการสรรเสริญและอุทิศให้แก่พระเจ้าด้วยเช่นกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าการที่ชาวยิวจะมีรอยสักบนร่างกายได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการตีความจารึกในคัมภีร์โทราห์นั่นเอง ดังนั้นจึงมีชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่ประทับรอยสักบนร่างของพวกเขาโดยไม่ได้ยึดติดกับการตีความที่ขัดแย้งนี้ ซึ่งรอยสักของชาวยิวจะมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง ดาราแห่งดาวิด (Star of David) เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หรือตัวอักษรฮิบบรู
ศาสนาพุทธ Buddhism
ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมการสักของชาวเอเชียนั้นมีมาอย่างยาวนานและหลากหลาย ซึ่งศาสนาพุทธก็ไม่ได้ถือว่ารอยสักนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามแต่อย่างใด ซ้ำยังถือเป็นสิ่งมงคลที่ติดอยู่บนร่างกายเสียอีกต่างหาก นอกจากนี้ก็มีพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยที่ยินดีให้พระได้ลงเข็มสักยันต์อักขระโดยเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมงคลคุ้มครองและปัดเป่าจากภัยทั้งปวง เพียงแต่ผู้สักจะต้องตั้งมั่นและครองตนอยู่ในศีลในธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ รวมถึงการห้ามรับทานอาหารบางประเภทอีกด้วย รูปแบบของรอยสักในศาสนาพุทธนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ ธรรมจักร ยันต์อักขระ
ศาสนาฮินดู Hinduism
สำหรับชาวฮินดูนั้นร้อยสักนั้นไม่ใช่สิ่งต้องห้ามแต่อย่างใด สำหรับชาวฮินดูบางกลุ่มนั้นรอยสักถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเสียด้วยซ้ำ รูปแบบของรอยสักนั้นจะสะท้อนถึงความเชื่อ ความประณีต
ศาสนาอิสลาม Islam
รอยสักนั้นไม่ใช่เพียงสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่คอยกีดกันไม่ให้ผู้สักได้เข้าถึงพระเจ้าอย่างถาวร และชาวมุสลิมจะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างถาวรเพื่อแต่งเติมความงดงามประดับร่างกาย และรอยสักจะถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่รวมอยู่ในบรรดาสิ่งต้องห้าม แต่ในกรณีที่ผู้มีรอยสักอยู่แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม รอยสักนั้นจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายดังนั้นรอยสักจึงไม่ใช่สิ่งต้องห้ามสำหรับเค้าเหล่านี้แต่อย่างใด
จะอย่างไรก็ตามการสักรูปหรือสัญลักษณ์ทางศาสนานั้นสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดก็คือความหมายของรอยสักนั้นๆ แม้แต่ผู้สักนั้นจะไม่ใช้ผู้ที่นับถือศาสนาเลยก็ตาม แต่หากผู้สักนั้นเป็นผู้ที่นับถือศาสนาแล้วความหมายของรอยสักนั้นจะมีคุณค่าและความหมายเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าของชีวิต พลังศรัทธา และหากต้องการจะมีรอยสักใดๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ควรศึกษาความหมายกันสักหน่อยเพราะสำหรับหลายๆแล้วรอยสักนั้นเป็นมากกว่าแค่ศิลปะ
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... tattoos.lovetoknow.com