TR6 Trophy โมเดลไอคอนของ Triumph ซึ่งสร้างชื่อจากผลงานที่สามารถเอาคว้าชัยได้ในการแข่งขันระดับโลกอย่างการแข่งตะลุยทะเลทรายระยะทาง 150 ไมล์จาก Barstow ถึง Vegas กับ Big Bear Run รวมถึงการแข่งขัน Enduro 200 ไมล์รายการ Hi-Moutain และ AMA National Hare & Hound Championship แต่สำหรับนักขี่หลายๆคนอาจจะรู้จักและคุ้นเคยกับโมเดลนี้เพราะเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ Steve McQueen ขี่จากภาพยนตร์เรื่อง The Great Escape
ย้อนกลับไปในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงวงการอุตสาหกรรมประเทศอังกฤษนั้นจำเป็นจะต้องมีการระบายสินค้าต่างๆออกนอกประเทศซึ่งหากส่งการออกสินค้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตสินค้าก็จะมีปัญหาตามมาด้วยเช่นกัน ซึ่งในช่วงเวลานั้นรถยนต์สัญชาติอังกฤษก็เป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นทาง Triumph ได้จึงได้แรงบันดาลใจในการสร้างมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์สมรรถนะสูงที่จะใช้เป็นอาวุธทางเลือกสำหรับการแข่งขันตะลุยทะเลทราย ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ทะเลทรายอย่าง Las Vegas ก็เหมาะที่จะเป็นใช้สำหรับการแข่งขัน และ Triumph TR6 Trophy ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับการแข่งขันในทะเลทราย ณ เวลานั้นเช่นกัน
TR6 และ Thunderbird
เรื่องราวของ TR6 Trophy นั้นเริ่มต้นจากการออกแบบที่ยึดเอารุ่นพี่อย่าง Thunderbird มอเตอร์ไซค์ที่ Marlon Brando ขี่เข้าฉากภาพยนตร์เรื่อง The Wild One เป็ต้นแบบ ติดตั้งด้วยเครื่องยนต์ “Speed Twin” ที่อิงมาจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์สปอร์ตคาร์ผลงานออกแบบของ Edward Turner และด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงเวลานั้นยังไม่มีมอเตอร์ไซค์ที่สัญชาติอังกฤษในที่สามารถวิ่งฝ่าทะเลทรายใน California และ Nebraska ได้เลยนอกจาก TR6 Trophy ต่อมาเครื่องยนต์ Speed Twin ของ Edward Turner ก็ได้รับการเพิ่มความจุของเครื่องยนต์จาก 498cc เป็น 649cc รอบเครื่องสูงสุด 6500rpm และกำลังเครื่องยนต์ 46 แรงม้าทำให้ Triumph TR6 Trophy สามารถวิ่งฝ่าทะเลทรายได้อย่างง่ายดายราวกับงูหางกระดิ่ง
Production
Triumph TR6 Trophy ส่งถึงโชว์รูมครั้งแรกเมื่อปี 1956 เดิมทีเหล่านักขี่จะเรียกว่า Trophy-bird เนื่องจากหน้าตาคล้ายกับ Thunderbird ของ Marlon Brando ซึ่งเครื่องยนต์ TR6 Trophy ได้รับการอัพเกรดด้วยลูกสูบแบบอัลลอยน้ำหนักเบา Delta Head กับวาล์วที่มีใหญ่ขึ้นรวมถึงระบบระบายอากาศที่ดีกว่าเดิม ด้วยจุดประสงค์แต่เดิมที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอาวุธสำหรับการแข่งขันในทะเลทรายจึงเลือกใช้ยางล้อแบบ off-road ไฟหน้าสามารถถอดได้เพื่อสะดวกในการแข่งขันกลางทะเลทราย กับน้ำหนักรถราว 365 ปอนด์ (166 กิโลกรัม) จนกระทั่ง Triumph Bonneville ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1959 โดยตั้งตามชื่อของสถานที่ประลองความเร็วชิงจ้าวสถิติโลกอย่าง Bonneville Salt Flats ที่โมเดลแรกมีหน้าตาออกจะแตกต่างจาก TR6 Trophy แต่ก็มีการปรับดีไซน์ให้ใกล้เคียงกับ TR6 ในเวลาต่อมา จากนั้นในปี 1957 มีการอัพเกรดเบรกหน้ามาใช้เป็นขนาด 8 นิ้วให้กับ TR6 Trophy และอัพเกรดเป็นเบรกหน้าแบบ twin leading shoes ในปี 1968 ที่ช่วยให้เหล่านักขี่ที่ควบมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่ากว่า TR6 สามารถนำรถสุดรักไปติดตั้งระบบเบรกแบบใหม่นี้ได้
ในปี 1963 Triumph TR6 Trophy ได้เปลี่ยนมาใช้เฟรมใหม่น้ำหนักเบาลง และได้อัพเกรดเครื่องยนต์อีกครั้งในปี 1967 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลัง 46 แรงม้า เท่าเดิมแต่จำเป็นจะต้องใช้เชื้อเพลิงเกรด “ซูเปอร์” หรือ “พรีเมียม” เท่านั้น จนกระทั่งปี 1970 อุตสาหกรรมยานยนต์ของอังกฤษประสบปัญหาด้านแรงงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะ Triumph TR6 Trophy ก็ติดร่างแหไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น Triumph TR6 Trophy ก็พัฒนามาจนสุดทางเสียแล้ว เพราะมีครบแล้วทั้งระบบอีเล็กทริคสตาร์ทเตอร์ ดิสก์เบรกหน้า ระบบเกียร์ห้าสปีดและระบบสมดุลการทำงานของเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม Triumph เลือกที่ใช้เฟรมแบบ Oil-in-Frame การออกแบบลูกสูบใหม่ช่วยให้เครื่องยนต์เข้ากับตัวเฟรมใหม่ได้อย่างลงตัว โมเดล Triumph TR6 Trophy รุ่น Oil-in-Frame ปี 1971 นั้น Triumph ตัดสินใจยกเยาะนั่งให้สูงขึ้นเป็น 34½ นิ้วเพื่อรองรับการติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่แม้จะเป็นความสูงที่นั่งขี่ได้ไม่สบายตัวก็ตาม จนกระทั่งปี 1973 Triumph ก็ได้นำเอา TR7 Tiger ที่ใช้เครื่องยนต์ 750cc ระบบเกียร์ห้าสปีด และดิสก์เบรกหน้าเข้ามาแทนที่ TR6 Trophy แม้จะมีกระแสตอบรับที่ดีก็ตามแต่ถึงอย่างนั้น TR7 Tiger ก็ยังไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ระดับไอคอนเหมือนกับ Triumph TR6 Trophy ที่ Steve McQueen ขี่ในภาพยนตร์ The Great Escape อยู่ดี
------
เรียบเรียงโดย... HD-Playground
ที่มา... silodrome.com