วิสกี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีทองอำพันที่หลายๆเลือกใช้เป็นเครื่องดื่มสำหรับเวลาพักผ่อนยามเย็น ยามว่างๆ หรือแม้แต่เป็นเครื่องดื่มยามพบปะสังสรรค์นั้นมีขั้นตอนการผลิตที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนกว่าที่หลายๆคนคาดคิด และกว่าจะได้วิสกี้หอมๆที่เราดื่มกันจะมีขั้นตอนการผลิตดังต่อไปนี้
การหมัก Fermentation
สำหรับผู้ผลิตวิสกี้นั้นจะนำธัญพืชหลากชนิดมาผสมกันตามอัตราส่วนที่เป็นสูตรเฉพาะของแต่ละรายมาบดจนละเอียดในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงจนเอมไซน์ของธัญพืชเปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลและนำไปหมักผสมกับยีสต์อีกครั้งจนได้ระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งยีสต์ที่เติมเข้าไปจะทำหน้าที่ผลิตแอลกอฮอล์ออกมาด้วยการทำปฏิกิริยากับน้ำตาลจนเกิดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเอธานอล เมื่อได้ที่แล้วจะเกิดเป็น “แอลกอฮอล์เหลว” หรือ “เบียร์กลั่น” จึงนำเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
การกลั่น Distillation
แต่เดิมแล้วการกลั่นวิสกี้จะนิยมใช้เครื่องกลั่น (Still) ที่เป็นทองแดงเพราะทองแดงจะขจัดสารประกอบกำมะถันออกจากแอลกอฮอล์ แต่ปัจจุบันเครื่องกลั่นที่นิยมใช้จะเป็นสแตนเลสที่ติดตังเครื่องกลภายในที่สร้างขึ้นจากทองแดง โดยเครื่องกลั่นยุคใหม่นี้จะเรียกว่าหอกลั่น (Distillation Column) เป็นการใช้ไอระเหยความร้อนสูงที่ส่งมาทางด้านล่างของหอกลั่นให้สัมผัสกับ “แอลกอฮอล์เหลว” ที่ถูกป้อนมาจากบนของหอกลั่นผ่านถาดกรองหลายชั้นที่เจาะรูนับร้อยๆรูเอาไว้ซึ่งของเหลวจะไหลลงด้านล่างส่วนไอน้ำจะระเหยสวนทางขึ้นไปด้านบน จากนั้นจะเกิดการควบแน่นจนได้เป็นของเหลวที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้น โดยของเหลวนี้จะถูกนำไปแยกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนที่หนึ่งจะถูกส่งเข้าสู่หอกลั่นอีกครั้ง และอีกส่วนจะได้เป็นสุรากลั่น (Distrillate) สีใสๆก่อนจะนำไปกรองในถังถ่านไม้และส่งต่อไปยังขั้นตอนถัดไป
การบ่ม Aging
วิสกี้ที่ดื่มกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่วิสกี้ที่ผ่านการเก็บรักษาในขวดอย่างที่วางขายกันเพราะหลังจากที่ได้วิสกี้ซึ่งผ่านการกลั่นและกรองด้วยถ่านไม้เรียบร้อยแล้วจะถูกนำไปบ่มเอาไว้ในถังไม้โอ๊คขาวที่ประกอบขึ้นใหม่ และเผาภายในถังจนเกรียมโดยขั้นตอนการบ่มในถังไม้นี้ถือเป็นหัวใจหลักอีกหนึ่งขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของตัววิสกี้เพื่อให้ได้รสและกลิ่นที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่ว่านี้คือการที่วิสกี้ผสมเข้ากับผิวของถังบ่มที่ได้รับการเผาไหม้มาเป็นอย่างดีและเป็นการสกัดเอาน้ำตาลจากไม้ออกมาทำให้เกิดเป็นรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัว ส่วนระยะเวลาขั้นต่ำในการบ่มวิสกี้นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละโรงกลั่นเพราะยิ่งวิสกี้ใช้เวลาในการบ่มยาวนานเท่าไรรสชาติและกลิ่นของวิสกี้ถังนั้นๆก็จะยิ่งดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ถังบ่มที่ทำจากไม้ชนิดอื่นๆที่จะให้รสและกลิ่นที่แตกต่างและแปลกใหม่กับวิสกี้ที่บ่มอีกด้วย
การบรรจุภัณฑ์ Packaging
เมื่อบรรจุขวดแล้ว วิสกี้จะหยุดการบ่มทันทีไม่ว่าจะเก็บเอาไว้โดยไม่เปิดขวดเลยเป็นเวลาหลายปีแล้วก็ตาม และรสชาติอาจจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำหากมีการเปิดขวด นั่นก็เพราะวิสกี้จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน และวิสกี้ส่วนใหญ่จะจัดจำหน่ายด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ 40% หรือใกล้เคียง โดยวิสกี้หนึ่งถังจะสามารถบรรจุขวดได้ราว 240 ขวด
ประเภทของวิสกี้ Whiskey Types
การแบ่งประเภทของวิสกี้นั้นค่อนข้างซับซ้อนซึ่งส่วนมากจะแบ่งประเภทตามวัตถุดิบ สถานที่ผลิตและขั้นตอนการผลิต ซึ่งแต่ละประเภทจะมีดังนี้
Malt Whiskey คือวิสกี้ที่ได้จากการหมักข้าวมอลต์และบาร์เลย์
Grain Whiskey คือวิสกี้ที่ได้จากการหมักธัญพืช
นอกจากนี้ยังมีแบบที่ผสมกันระหว่างมอลต์และธัญพืชที่หลากหลายอีกด้วยโดยจะเรียกว่า Blended Whiskey ซึ่งจะแยกเป็น
Single Malt Whiskey คือมอลต์วิสกี้ที่ได้โรงกลั่นเพียงแห่งเดียวแต่ไม่ได้มาจากถังเดียวของโรงกลั่นและอาจไม่ได้มาจากการผลิตในปีเดียวกันแต่เป็นการนำเอามอลต์วิสกี้จากหลายถัง หรือแม้แต่มาจากหลายปีผลิตมาผสมกันจนได้รสชาติที่กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ของโรงกลั่นนั้นๆและจะเรียกตามชื่อของแต่ละโรงกลั่น
Blend Malt Whiskey เป็นวิสกี้ที่ได้จากการผสม Single Malt จากหลายๆโรงกลั่นเข้าด้วยกันและที่ฉลากจะติดคำว่า “Pure Malt” หรือ “Malt” เพียงอย่างเดียวๆ โดยวิสกี้ชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Vatted Malt”
Blended Whiskey คือวิสกี้ที่ได้จากการผสมกันระหว่างวิสกี้มอลต์และวิสกี้ธัญพืช และจะเป็นการนำวิสกี้จากหลายๆโรงกลั่นมาผสมกันเพื่อให้ได้วิสกี้ที่มีรสหรือกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ตามที่แต่ละแบรนด์ และสก๊อตช์กับไอริชวิสกี้รวมถึงวิสกี้แคนาดาจะถูกขายในแบบ Blended เป็นส่วนใหญ่
Cask Strength ถือเป็นวิสกี้ที่ค่อนข้างหาดื่มได้ยากอีกประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นวิสกี้ที่มีราคาค่อนข้างสูงเพราะวิสกี้ชนิดนี้จะเป็นวิสกี้ที่ถูกนำมาบรรจุขวดจากถังบ่มโดยตรง
Single cask เป็นวิสกี้ที่พิเศษอีกชนิดหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างสูงเพราะนอกจากจะเป็นการบรรจุขวดจากถังโดยตรงแล้วยังเป็นการบรรจุแบบระบุหมายเลขของถังบ่มนั้นๆโดยคอวิสกี้หลายๆคนจะรู้จักในชื่อของ “Single Barrel”
โดยทั้ง Cask Strength และ Single cask นั้นถือว่าเป็นวิสกี้ที่มีเสน่ห์อยู่ที่ความเข้มข้นกลมกล่อมเป็นธรรมชาติที่สุดคือเป็นวิสกี้ที่อาจมีรสชาติหรือกลิ่นที่แตกต่างกันแม้จะเป็นวิสกี้ที่มาจากโรงกลั่นเดียวกันก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการบ่มที่แต่ละแบรนด์จะกำหนดให้นำออกมาบรรจุขวด
นอกจากนี้วิสกี้ยังแบ่งได้ตามเอกลักษณ์ของผู้ผลิตจากแต่ละประเทศซึ่งจะมีที่โดดเด่นในวงการวิสกี้ดังนี้
Irish whiskey
โดยทั่วไปแล้ววิสกี้จากไอร์แลนด์จะนิยมใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวโพดและเมล็ดข้าวอื่นๆมาใช้เป็นเชื้อหมักและทำการกลั่นถึงสามครั้งก่อนบรรจุลงถังบ่มที่ใช้ระยะเวลายาวนานถึง 7 ปีเป็นอย่างต่ำ จึงทำให้มีรสนุ่มกลมกล่อมเป็นจุดเด่นของไอริชวิสกี้
Scotch Whiskey
วิสกี้ที่ผลิตขึ้นในประเทศสก๊อตแลนด์โดยกลั่นจากเชื้อหมักที่ได้จากข้าวเมซ (Maize) ข้าวไรย์ (Rye) และอื่นๆ ส่วนขั้นตอนการกลั่นจะใช้แบบ Patent Still Process ที่ใช้เวลากลั่นสั้นแต่ให้ปริมาณแอลกอฮอล์สูงมาก ซึ่งสก๊อตแลนด์นี้คือต้นกำเนิดของ Blended Whiskey ที่นิยมนำเอามอลต์วิสกี้ และเกรนวิสกี้ มาผสมกันเป็นวิสกี้ที่มีสี กลิ่น และรสชาติเฉพาะตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของมอลท์วิสกี้ และเกรนวิสกี้ที่นำมาผสมกัน
American Whiskey
วิสกี้ที่ได้จากโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งนิยมใช้เชื้อหมักจากธัญพืช และวิสกี้ที่ได้จะมีรส กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์จะได้มาจากกระบวนการผลิตโดยจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น
Bourbon (เบอร์เบิน) เป็นวิสกี้ที่กลั่นจากเชื้อหมักที่มีข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้อย 51%
Rye whiskey (ไรย์ วิสกี้) เป็นวิสกี้ที่กลั่นจากเชื้อหมักที่มีข้าวไรย์เป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้อย 51%
Rye malt whiskey (ไรย์ มอลต์ วิสกี้) เป็นวิสกี้ที่กลั่นจากเชื้อหมักที่มีข้าวไรย์ และมอลต์เป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้อย 51%
Malt whiskey (มอลต์ วิสกี้) เป็นวิสกี้ที่กลั่นจากเชื้อหมักที่มีข้าวมอลต์เป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้อย 51%
Wheat whiskey (วีต วิสกี้) เป็นวิสกี้ที่กลั่นจากเชื้อหมักที่มีธัญพืชเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้อย 51%
Corn whiskey (วิสกี้ข้าวโพด) เป็นวิสกี้ที่กลั่นจากเชื้อหมักที่มีข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้อย 80%
ซึ่งอเมริกันวิสกี้นั่นส่วนมากจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 80% โดยบางยี่ห้ออาจมีการเติมน้ำเข้าไปในขั้นตอนการบ่มเพื่อเจือจางรวมถึงสร้างสี ให้กับวิสกี้ และมีเพียงวิสกี้ข้าวโพดเท่านั้นที่จะไม่นำไปบ่มในถังไม้เพราะเป็นวิสกี้ชนิดเดียวที่จะไม่ซึมซับรสชาติ กลิ่น รวมถึงสีของถังไม้ ดังนั้นผู้ผลิตจึงนิยมบรรจุขวดวิสกี้เข้าโพดทันทีที่กลั่นเสร็จเมื่อวิสกี้เหล่านี้ได้รีบการบ่มเป็นเวลา 2 ปีขึ้นไปก็จะถูกเรียกว่า Straight Whiskey นอกจากนี้ วิสกี้อเมริกันยังแยกย่อยออกมาอีก
American Blended คือวิสกี้ที่ได้จากการนำ Straight มาผสมเข้ากับวิสกี้ที่ยังบ่มได้ไม่นานนักเพื่อสร้างกลิ่นและสีที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ ซึ่งหลายๆคนอาจจะรู้จักในชื่อของ Tennessee Whishey ต่างจากเบอร์เบินที่มีขึ้นตอนเดียวกับ American Blended ทุกประการต่างกันเพียงใช้วิธีการกรองเพื่อให้ได้ลักษณะของผลผลิตที่ต่างออกไป
Light Whiskey คือวิสกี้ที่มีสีเหลืองทองอ่อนๆเนื่องจากถูกนำไปบ่มในถังไม้โอ๊คที่ไม่ได้รับการเผาด้านในของถัง
Spirit Whiskey คือวิสกี้กลั่นที่มีการผสมกันของวิสกี้บริสุทธิ์ที่ผ่านการกลั่นแล้วแต่ยังไม่ได้รับการบ่มหรืออาจจะบ่มเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่า Straight Whiskey
Australian Whiskey
วิสกี้จากออสเตรเลียนั้นก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฐานการผลิตที่มีวิสกี้เลิศรสซึ่งวิสกี้ซิงเกิลมอลต์ก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศจากออสเตรเลียที่ได้รับรางวัลการันตีระดับโลก
Canadian Whiskey
วิสกี้ที่ได้จากข้าวไรย์ที่ให้กลิ่นหอมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์นั้นถือเป็นสเน่ห์เฉพาะของแคนาเดียนวิสกี้ และแม้ว่าจะบอกว่าไรย์วิสกี้คือเอกลักษณ์ของวิสกี้จากดินแดนนี้แต่ความจริงแล้วผู้ผลิตมักจะผสมธัญพืชสองชนิดหรืออาจมากกว่าเข้าด้วยกันในการผลิตทุกครั้งเนื่องจากมีคนเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตนั้นจะเป็นเมล็ดข้าวไรย์มากที่สุด ส่วนกระบวนการและวิธีการผลิตของวิสกี้ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะคล้ายกับอเมริกันวิสกี้ ต่างกันเพียงระยะเวลาการบ่มเท่านั้น
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... wikipedia.org