วิสกี้ คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งกลั่นมาจากธัญพืชหลายชนิดที่บดละเอียดแล้วหมักเอาไว้จนได้เป็นสุรากลั่น (Spirit) จากนั้นนำไปบ่มในถังไม้เป็นเวลานานอย่างน้อยสามปี (โดยปกติจะนิยมใช้ถังไม้โอ๊ก) ซึ่งธัญพืชที่นิยมใช้ในการทำวิสกี้ก็มี ข้าวมอลต์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวโพด ซึ่งวิสกี้ที่ทำจากข้าวโพดในอเมริกาจะไม่นิยมนำไปบ่มในถังไม้
ความแตกต่างของวิสกี้นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านวัตถุดิบรวมถึงอุปกรณ์และกรรมวิธีในขั้นตอนต่างๆล้วนส่งผลให้เกิดความแตกต่างของวิสกี้แต่ละแบรนด์ อย่างเช่นเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ หรือแม้แต่ หินถ่านหรือพีต (peat) ที่ใช้ในการเผาเมล็ดพันธุ์ก่อนจะนำมากลั่นจะให้กลิ่นที่ต่างกัน ชนิดของยีสต์ที่ใช้ในการบ่มจะให้รสแตกต่าง หม้อกลั่น น้ำที่นำมาใช้ในการกลั่น รวมไปถึงถังไม่ที่นำมาใช้ในการบ่มจะให้สี รส และกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป
ต้นกำเนิดของวิสกี้นั้นนักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดแต่มีความเป็นไปได้ว่ามีการกลั่นเกิดขึ้นโดยชาวบาบิโลน (Babylonians) ในยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งเป็นการกลั่นน้ำหอมและนำมันหอมระเหยหรือแม้แต่การกลั่นสารเคมีอื่นๆในเมือง Alexandria ยุคกรีกแต่ก็ยังไม่ใช่การกลั่นสุราอยู่ดี จากนั้นศาสตร์การกลั่นก็พัฒนาและแพร่หลายเข้าสู่ไอร์แลนด์และสก๊อตแลนด์หลังจากศตวรรษที่ 15 ก็ได้มีการกลั่นแอลกอฮอล์ก็เกิดขึ้นในชื่อว่า “Aqua Vitae” แปลว่าน้ำแห่งชีวิตซึ่งถือเป็นยารักษาประเภทหนึ่ง โดยในยุคแรกๆวิสกี้นั้นนิยมใช้เป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่กลั่นโดยบาทหลวงเท่านั้นและจะไม่มีการบ่มในถังไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบันและจะนำไปใช้ทันทีหลังจากที่กลั่นเสร็จ ต่อมาพระเจ้าเฮนรีที่แปดได้มีดำริให้ขับไล่เหล่าบาทหลวงรวมถึงยุบอารามต่างๆเป็นผลให้กรรมวิธีการกลั่นสุราจากบรรดาบาทหลวงผู้ถูกขับไล่แพร่กระจายไปสู่สาธารณะและมีการกลั่นสุรากันในครัวเรือนในเวลาต่อมา
แต่หลังจากมีการเก็บภาษีข้าวมอลต์ในปี 1725 เป็นเหตุให้โรงกลั่นสุราในสก๊อตแลนด์ถูกบังคับให้ปิดตัวลงหลายแห่งรวมถึงมีการลักลอบประกอบกิจการเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีและจากเก็บซ่อน ลักลอบประกอบกิจการรวมถึงแอบดื่มยามค่ำคืนทำให้วิสกี้ในยุคนั้นถูกเรียกว่า “Moonshine” โดยตลอด 150 ปีของกำแพงภาษีในสก๊อตแลนด์นี้ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายประเทศเลยทีเดียว ส่วนในอเมริกาช่างยุคปฏิวัตินั้นวิสกี้ถือว่าขาดแคลนเป็นอย่างมากและนิยมใช้แทนเงินตราในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าต่างๆและหลังจากสิ้นสุดสงครามปฏิวัติรัฐบาลสหรัฐก็ได้สร้างความผิดพลาดร้ายแรงเหมือนกับรัฐบาลสก๊อตแลนด์ด้วยการตั้งภาษีมหาโหดสำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการกลั่นรวมถึงการขายวิสกี้ จนสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนทำให้เกิดการประท้วงที่เรียกกันว่า “Whiskey Rebellion” ขึ้นในเวลาต่อมา
ข้ามมาที่สก๊อตแลนด์ปี 1823 รัฐบาลอังกฤษได้เสนอนโยบายทำให้วิสกี้เป็นเครื่องดื่มที่ถูกกฎหมายถือเป็นการสิ้นสุดยุคแห่งการลักลอบกลั่นสุราและคืนชีพให้กับอุสาหกรรมสุรากลั่นทั่วทั้งสก๊อตแลนด์และไอร์แลนด์อีกครั้ง ซึ่งเป็นการกำเนิดวิธีการหมักที่เรียกว่า “Continuous still” ที่คิดค้นโดย Robert Stein ซึ่งช่วยลดนะยะเวลาการหมักและเพิ่มคุณภาพให้กับสปิริตที่กลั่นออกมาให้สูงยิ่งขึ้น จนวิสกี้กลายเป็นเครื่องดื่มหลักของสก๊อตแลนด์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 นักดื่มหลายๆคนเริ่มสังเกตถึงรสชาติที่แตกต่างกันของวิสกี้ที่ดื่มในแต่ละวันจึงเริ่มมีการนำสปิริตไปบ่มเอาไว้ในถังไม้จนกลายเป็นวิสกี้แบบดีเราดื่มกันในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอีกสองเหตุการณ์คือกำเนิด Blend Whisky โดย Scott Andrew Usher โดยกลายเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลกบวกกับเกิดการแพร่ระบาดของหนอนแมลงทำลายไร่องุ่นจนส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมไวน์ทั่วโลกทำความนิยมของวิสกี้เพิ่มมากขึ้น
จนกระทั้งช่วงปี 1920 ต้นศตวรรษที่ 20 ก็เกิดเหตุซ้ำรอยช่วง 150 สุราเถื่อนในสก๊อตแลนด์ขึ้นเมื่อการกลั่นสุราข้ามคืนถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอเมริกา รวมไปถึงกระแสการปฏิรูปทาง “จริยธรรม” ในอเมริกาเป็นเหตุมีการสั่งห้ามผลิตและจำหน่ายรวมถึงการขนส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่อนุญาตให้จำหน่ายไวน์สำหรับใช้ในพิธีทางศาสนาและวิสกี้ทางการแพทย์ในจำนวนที่จำกัด จึงเกิดการลักลอบผลิต ขนส่งและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามกฎหมายสั่งห้ามดังกล่าวได้สิ้นสุดลงในปี 1933 แต่ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมึนเมาก็ดำเนินไปอย่างจำกัดจนทำให้โรงกลั่นหลายแห่งต้องปิดตัวลงส่งผลให้โรงเตี๊ยมทั้งหลายปิดกิจการลงตามไปด้วยเป็นจำนวนมากจนเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจ และยังเป็นการเพิ่มปริมาณของนักดื่มคอทองแดงตามมาอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดกว้างทางสังคมสำหรับนักดื่มหญิงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... whiskyfacts.com