มอเตอร์ไซค์ตระกูล Sportster ของ Harley Davidson ได้ถูกพัฒนาและผลิตขึ้นหลังจากการบุกตลาดในอเมริกาของมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษที่มีทั้งความเร็ว ความปราดเปรียวอันเป็นผลให้ยอดขาย Harley Davidson ลดลง ซึ่ง ณ เวลานั้นทั้ง Norton และ Triumph หรือแม้แต่ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางอย่าง BSA ได้ส่งมอเตอร์ไซค์ 500 ถึง 650cc ที่สามารถใช้แข่งกันจาก café หนึ่งไปยังอีก café ทำความเร็วได้ถึง 100mph แถมยังไม่ถูกตำรวจโบกจอดอีกต่างหาก ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นกีฬาชนิดใหม่ขึ้นมา
โดยวิกฤตในพื้นที่ทางการตลาดของแบรนด์สัญชาติอเมริกันนั้นเหมือนจะหนักเอาการเมื่อมอเตอร์ไซค์ที่ Marlon Brando ขี่ในภาพยนตร์เรื่อง “The Wild One” นั้นแทนที่จะเป็น Harley Davidson แต่กลับมอเตอร์ไซค์ของ Triumph ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าชัยชนะในสงครามยอดขายของตลาดอเมริกาได้ตกเป็นของมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเพื่อการกู้วิกฤตในสงครามยอดขายของตลาดอเมริกาแล้วมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันที่มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาลง และความคุมได้ง่ายขึ้นอย่าง Harley Davidson Sportster จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสม จนกระทั่งบรรดามอเตอร์ไซค์ Cafe racer นั้นก็ค่อยๆกลายเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ V-twin และมีคำว่า Harley Davidson ที่ถังเชื้อเพลิง
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้าปี ค.ศ. 1957 ไม่นานนักไอเดียของโมเดล K ได้เป็นตัวจุดประกายให้กับ Harley Davidson ได้พัฒนา Sportster ด้วยมอเตอร์ไซค์ที่ทำความเร็วได้ถึง 100mph และทำเวลาในระยะควอเตอร์ไมล์เพียง 16 วินาทีเท่านั้นเพื่อต่อสู้กับในกระแสความนิยมในมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษที่แซงหน้าด้านยอดขายไปแล้วในเวลานั้น โดย Marlon Brando ขี่ Triumph 6T Thunderbird 650cc ภาพยนตร์เรื่อง “The Wild One” ที่ใช้เครื่องยนต์ Speed twin 34 แรงม้า 6300rpm จนกระทั่ง Harley Davidson เปิดตัว XL Sportster ในปี1957 ที่มีทุกอย่างที่มอเตอร์ไซค์ยอดนิยม ณ เวลานั้นมี เพียงแต่ใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่ามาพร้อมกับกันทะเทือนท้ายคู่และถังเชื้อเพลิงทรง “ถั่วลิสง” เครื่องยนต์ V-twin Ironhead ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ Marlon Brando ควรขี่ในภาพยนตร์จากนั้น Sportster ก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งมีการยึดเครื่องยนต์เข้ากับเฟรมโดยตรงเพื่อให้เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีน้ำหนักเบาลงและบังคับง่ายขึ้นถึงแม้ว่าถึงแม้วว่าแรงสะเทือนจากเครื่องยนต์จะถูกส่งมายังนักขี่โดยตรงก็ตาม และในปี 1958 Sportster เบาะนั่งเดี่ยว XLCH ที่ใช้ท่อไอเสียแบบ 2-2 ได้ผลิตขึ้นเพื่อใช้สำหรับแข่งขันและกลายเป็นที่นิยมอย่างมากเช่นกัน
โมเดลที่โดดเด่นไม่แพ้พี่น้องตระกูล Sportster ด้วยกันนับจากปี 1972 – 1985ก็คงจะหนีไม่พ้น XR750 ที่เป็นทั้งรถแข่ง และรถที่ Evel Knievel ใช้แสดงสตั๊นท์โชว์อีกด้วย ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เป็น Harley Davidson Sportster กลายเป็นโมเดลที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และไม่ว่าอะไรก็ตามกลายเป็นที่นิยมแล้วผู้คนก็ต่างย่อมต้องการมีเอาไว้ครอบครองบ้าง ดังเช่นปรากฏการ Clint Eastwood จากภาพยนตร์เรื่อง “Dirty Harry” ใช้ Smith & Wesson โมเดล 29 ซึ่ง Magnum .44 กระบอกนี้เป็นปืนพกที่รุนแรงที่สุดในโลก จนทำให้ยอดสั่งจองโมเดล 29 จาก Smith & Wesson นั้นยาวไปถึง 3 ปีเลยทีเดียว
ไฮไลท์ของโมเดล Harley Davidson Sportster นั้นคงจะอยู่ในช่วงปี 1977-1979 โดยโมเดล XLCR ที่เป็น Sportster Cafe racer อย่างเต็มรูปแบบของ Harley Davidson ที่สามารถโค่นบรรรดามอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษได้สำเร็จ และยังมี Sportster รุ่นปีเดียวจอดอย่าง XR1000 ที่ผลิตขึ้นในปี 1983 และได้เลิกผลิตไปในปี 1984 ที่นักสะสมหลายๆคนกำลังตามหาอยู่ในโลกยุคปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีความผิดพลาดของโมเดล XLH883 Hugger กับความสูงของเบาะนั่ง 26 นิ้วที่ผลิตออกมาเจาะกลุ่มนักขี่หญิงแหละนักขี่มือใหม่ แต่กลับไม่ได้ทำแคมเปญโฆษณาให้มากพอจะสู้กับภาพลักษณ์ที่ Evel Knievel ได้สร้างเอาไว้ให้กับ Sportster จนกลายเป็นว่าไม่สามารถซื้อใจกลุ่มนักขี่หญิงในเวลานั้นหันมาจับจองเป็นเจ้าของ Hugger ได้เท่าที่ควร นับจากจุดเริ่มต้นของ Harley Davidson Sportster จนถึงปัจจุบันนี้มอเตอร์ไซค์ครุยเซอร์สุดหล่อนี้ก็ได้รับการพัฒนาปรับโฉมมาอย่างต่อเนื่อง ทังรูปลักษณ์ที่มีความทันสมัยมากขึ้น สมรรถนะสูงขึ้น การบังคับดีขึ้น และจะยังคงพัฒนาเพื่อเอาใจบรรดาเหล่าได้อีกหลายปี
------ เรียบเรียงโดย... HD-Playground ที่มา... ebay.com