สำหรับเหล่า Biker ที่เคยควบรถคู่ใจตะลุยไปแทบจะทุกเส้นทางในประเทศ หรือหลาย ๆ คนก็เคยไปทัวร์ต่างแดนกันมาแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปก็ใช้รถยนต์กันตลอด แน่นอนว่าทุกคนจะต้องมีเสี้ยวความคิดหนึ่งที่ต้องการจะไปขี่กินบรรยากาศและดื่มด่ำกับความสนุกสนานที่ได้จากการขี่ระยะไกลในต่างแดนกันบ้าง และนี่คือภาพบรรยากาศที่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนต้องจัดคิววันหยุดยาว ๆ เตรียมความพร้อมจองตั๋วเครื่องบินไปตะลอนทัวร์ด้วยรถสองล้อกับบ้างก็เป็นได้ ที่ประเทศญี่ปุ่นถือว่ามีข้อบังคับที่เคร่งครัดสำหรับการใช้รถใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของใบอนุญาตขับขี่ กฎจราจร หรือแม้แต่กฎต่าง ๆ ในที่จอดรถ โดยการขี่ทัวร์ญี่ปุ่นครั้งนี้ได้รับข้อมูลจาก Forum Foreign-Born (Gaijin) ที่เป็น Forum ของเหล่าไบเกอร์ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น และได้นัดหมายกับสมาชิกของ Forum นั้นเพื่อร่วมขี่ไปด้วยกันจึงช่วยให้ทริปนี้สะดวกยิ่งขึ้น โดยขี่เป็นระยะทาง 431.7 ไมล์ (693.74 กิโลเมตร) แม้จะมีอุปสรรคเป็นสภาพอากาศก็ตาม หลังจากใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงในการเดินทางไปยังที่นัดหมายกับชาวคณะไปตาม Tomei Expressway ไปเกือบถึง Nagoya ในตอนเช้าตรู่ ต้องบอกว่ารถติดเสียเหลือเกิน ซึ่งทำให้เสียค่าเดินทางโดยไม่ตั้งใจประมาณ 43 ดอลลาร์ (1,532 บาท) ซึ่งกว่าจะพบกับชาวคณะที่ถนนเส้น 362 ก็เลยจุดนับพบไปแล้ว ซึ่งขี่ไปสักพักก็ได้พบกับหน้ากาก Tengu ขนาดยักษ์ใน Haruno และขี่ต่อไปอีกไม่กี่กิโลเมตรก็ขอหยุดพักสักหน่อย หลังจากนั้นถึงออกเดินทางกันต่อ เมื่อมาถึง Shinagawa และ Minato-ku ก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศของชนบทที่ผสมเข้ากับอาคารสมัยใหม่ได้อย่างงดงาม หากไม่นับเรื่องของความงดงามของสถานที่แล้ว สิ่งที่น่าดึงดูดใจของที่นี่ก็คงจะเป็นบรรยากาศบวกกับถนนเลนเดียวที่กว้างมาก ๆ เหมาะกับการขี่รถสุด ๆ ปัญหาอีกอย่างที่ได้เจอคือการสื่อสาร โดยเฉพาะเวลาเติมน้ำมันซึ่งพนักงานของที่นี่ไม่รู้ภาษาอังกฤษเลย แต่ก็แก้ปัญหานี่ได้ด้วย App แปลภาษาในสมาร์ทโฟน มาถึงตรงนี้ก็อาาจจะบอกได้ว่าค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นไม่ค่อยสูงเท่าไรนัก ส่วนอาหารการกินก็ไม่ได้มีแต่ปลาดิบหรือเราเมนให้เลือกทานเท่านั้น แต่ยังมีร้านอาหารที่หลากหลายอย่างเช่นร้าน Fast Food ให้เลือกด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าใครที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ญี่ปุ่นแล้วจะเลือกทานแต่ของที่คุ้นเคยก็อาจดูเหมือนยังเดินทางมาไม่ถึงที่ คงต้องเลือกทานอาหารญี่ปุ่นกันบ้างอย่างแน่นอน และประโยคที่ควรจะรู้และเอาไว้ใช้ไม่ว่าคุณจะไปญี่ปุ่นเพื่ออะไรก็ตามคือ “Arigato Gozaimasu” (ขอบคุณมาก ๆ) และ “Sumimasen” (ขอประทานโทษ) คำหลังนี้ใช้บ่อยมาก ๆ โดยเฉพาะเวลาเรียกเก็บค่าอาหาร เมื่อขี่ไปถึง Kamakura ประมาณ 31 ไมล์ (50 กิโลเมตร) ทางตอนใต้ของ Tokyo ก็จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวคือวัด Kotoku-in โดยมีจุดเด่นอยู่ที่พระพุทธรูปขนาดใหญ่ โดยสภาพถนนใน Tokyo พื้นถนนค่อนข้างจะเรียบ ไม่มีแม้แต่รอยยุบหรือมีหลุมเลย แต่มีทางต่างระดับทั้ง Overpasses, Underpasses รวมไปถึงอุโมงค์ยาว ๆ ยาวเสียจนลืมไปเลยว่าขี่เข้ามาในอุโมงค์นานแค่ไหนแล้ว และถ้าเปรียบลักษณ์คงเหมือนกับบะหมี่ถ้วยหนึ่ง ถ้าไม่มี GPS หรือแผนที่หรือนักขี่ท้องถิ่นไปด้วย ก็ได้หลงทางกันบ้างล่ะงานนี้ ซึ่งค่าผ่านทางสำหรับถนนวงแหวนใจกลางกรุง Tokyo นั้นจะเริ่มต้นที่ 9.30 ดอลลาร์ (330 บาท) ซึ่งจะต้องเพิ่มค่าเดินทางอีกเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับระยะทาง โดยต้องจ่ายอีก 3 ดอลลาร์ (106 บาท) ต่อไมล์สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ และ 4 ดอลลาร์ (142 บาท) ต่อไมล์สำหรับรถยนต์ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมกระดานไปพร้อมกับขี่รถบนทางด่วนเลยก็ว่าได้ บนทางด่วนของประเทศญี่ปุ่นจะจำกัดความเร็วอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรืออาจจะผ่อนผันเป็น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะมีกล้องตรวจสอบความเร็วตั้งอยู่เป็นระยะ หากใครต้องการที่จะอัด 120-140 ต่อชั่วโมง ก็ต้องสังเกตกล้องตรวจสอบความเร็วเอาเองว่ามีกล้องตั้งอยู่รึเปล่า แต่อาจจะเป็นโชคดีของนักขี่ที่รอดตัวไปแทบจะทุกครั้งเพราะเจ้ากล้องที่ว่านี้สามารถจับภาพได้เพียงป้ายทะเบียนหน้ารถเอาไว้เท่านั้น (ก็มอเตอร์ไซค์มีแต่ป้ายทะเบียนหลังนี่นะ) หลังจากขี่ไปได้สักพักใหญ่ ๆ ประมาณสองชั่วโมง (ไม่นับตอนรถติด) ในที่สุดก็ถึงภูเขาไฟฟูจิโดยใช้ทางด่วน Chuo เสียค่าผ่านทางประมาณ 35 ดอลลาร์ (1,245 บาท) ซึ่งเราสามารถขี่ไปซึมซับบรรยากาศตามถนนริมทะเลสาบและถนนรอบ ๆ ภูเขาได้เลย ซึ่งจะมีรีสอร์ทริมทะเลสาบให้เข้าพักได้เช่นกัน หรือหากมีเวลาจะแวะสวนสนุก Fuji Q Highland ก็ยังได้ และหากต้องการบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ก็แนะนำให้เลือกจองโรงแรมแบบดั้งเดิม Ryokan ซึ่งที่พักแบบนี้มักจะมีบริการบ่อน้ำร้อน Onsen ให้แช่เพื่อผ่อนคลายและพักฟื้นร่างกายจากความอ่อนล้า ซึ่งจะแยกเป็นบ่อสำหรับชายและหญิงเอาไว้ด้วย โดยทำเนียมการแช่ Onsen นั้นต้องลงแช่แบบตัวเปล่าเท่านั้น และต้องล้างตัวก่อนลงแช่ทุกครั้ง สำหรับใครที่ต้องการพบกับความแปลกใหม่เช่น ฝารองนั่งชักโครกอุ่น ๆ บาร์ที่เสิร์ฟเหล้าหวาน น้ำส้มสายชูหมักจากแอ๊ปเปิ้ล หรือคิทแคทรสวาซาบิ และสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ แนะนำให้เลือกช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายนโดยเฉพาะช่วง Golden Week ที่อากาศกำลังสบาย ๆ และเป็นช่วงเทศกาลชมดอกซากุระบาน และแน่นอนว่าพาหนะที่เหมาะจะใช้ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นก็คือ 'มอเตอร์ไซค์' นั่นเอง
------ เรียบเรียงโดย... HD-Playground ที่มา... --- motorcyclistonline.com