ศิลปะและงานฝีมือคือสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตลอดหลายศตวรรษ และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆออกมาเป็นผลงานที่สามารถจับต้องได้ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างชัดเจนที่สุด สำหรับวงการมอเตอร์ไซค์ที่ให้นิยามของพาหนะสองล้อว่าเป็นตัวแทนแห่งอิสรภาพ ย่อมมีที่ว่างให้เหล่าศิลปินได้สร้างสรรค์ผลงานลงมอเตอร์ไซค์ได้อย่างมากมาย เพราะการตกแต่งมอเตอร์ไซค์ไม่ใช่แค่การประทับตราอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งตัวนักขี่และศิลปินเอาไว้บนผลงานเท่านั้น แต่การคัสตอมรถยังเป็นศาสตร์ที่เพิ่มสมรรถนะให้กับรถอีกด้วย
แม้จุดเริ่มต้นของการคัสตอมมอเตอร์ไซค์จะยังคงคลุมเครือไม่สามารถระบุจุดเริ่มต้นที่แน่นอนได้ ทว่าหนึ่งในการคัสตอมมอเตอร์ไซค์ในยุคแรกเริ่มที่ชัดเจนที่สุดก็คือ Dreadnought ผลงานของ Harold “Oily” Karslake วิศวกรและนักแข่ง Trail rider ในปี 1902 ที่นำเครื่องยนต์จากมอเตอร์ไซค์แบรนด์หนึ่งมาติดตั้งเข้ากับเฟรมของมอเตอร์ไซค์อีกแบรนด์หนึ่ง และเพิ่มองค์ประกอบต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์เข้าไป แม้ Dreadnought อาจจะไม่ใช่รถคัสตอมคันแรก แต่ก็ถูกยกให้เป็นมอเตอร์ไซค์คัสตอมคันแรกที่เป็นที่รู้จักของสาธารณชน ปัจจุบัน Dreadnought ยังคงอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมและเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีโดย Vintage MotorCycle Club
Dreadnought มอเตอร์ไซค์ที่ถูกยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของวงการคัสตอม
ปัจจัยหลักที่ช่วยผลักดันวงการรถคัสตอมคือกีฬา โดย Dreadnought ก็เป็นมอเตอร์ไซค์สร้างขึ้นเพื่อการแข่งขัน endurance races ด้วยเทคโนโลยีด้านวิศวะกรรมที่เหนือชั้นกว่าทำให้สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศได้หลายปีติดต่อกันในช่วงยุค 1920s ด้วยชื่อเสียงที่มากขึ้นจึงมีนักขี่หลายคนเริ่มทำการปรับแต่งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจให้เหมาะสำหรับการขี่บนทางดินตาม Dreadnought กันมากขึ้น สำหรับมอเตอร์ไซค์ในช่วง 20 ปีแรกของศตวรรษที่ 20s จะมีหน้าตาคล้ายกับจักรยาน ซึ่งมี riding position ที่ทำให้การบังคับรถได้ยาก จนมีการปรับดีไซน์ของรถในเวลาต่อมา ผลที่มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ได้คือการปรับรูปทรงของเฟรมและเบาะนั่งที่ถูกจัดให้มีตำแหน่งที่ต่ำลง และเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งสำหรับวงการสองล้ออเมริกัน เมื่อเกิดการปรับปรุง Harley-Davidson Model J ที่ยังคงประกอบออกมาด้วยดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับจักรยานเช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์ในช่วงก่อนหน้า และเป็น Harley Davidson โมเดลสุดท้ายที่ยังคงใช้ดีไซน์นี้ ทำให้เกิดความนิยมในการดัดแปลงเฟรมของรถโมเดลนี้เพื่อให้ขี่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
กระทั่งปี 1933 American Motorcyclist Association หรือ AMA ได้ประกาศให้มีการเพิ่มคลาสการแข่งขันใหม่อย่างเป็นทางการ เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วของรถให้มากกว่าเดิม ทีมงานของแต่ละทีมเลือกที่จะกำจัดน้ำหนักส่วนเกินออกไปด้วยการตัดทอนเอาส่วนท้ายของรถอย่างเช่นบังโคลนหลังและอื่นๆอีกเล็กน้อย ซึ่งก็แน่นอนว่าความนิยมที่มีต่อมอเตอร์ไซค์รูปโฉมนี้ก็แพร่ไปสู่เหล่านักขี่ในชีวิตประจำวันอีกเช่นเคย
ภาพเปรียบเทียบมอเตอร์ไซค์จากช่วงก่อนและหลังยุค 1920s
และอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถนับรวมเข้ากับการคัสตอมมอเตอร์ไซค์ได้ก็คือสงครามโลกครั้งที่สอง เทคโนโลยีที่ยานยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดวิวัฒนาการของวงการสองล้อทั่วโลก ซึ่งการคัสตอมมอเตอร์ไซค์ในช่วงเวลานั้นมีกองทัพอังกฤษและกองทัพอเมริกาที่เป็นตัวแปรสำคัญ อย่างเช่นการดัดแปลงสภาพของมอเตอร์ไซค์ให้สามารถใช้งานในพื้นที่ต่างๆได้ดี โดยหลังจากสิ้นสุดสงครามมอเตอร์ไซค์ของกองทัพอังกฤษที่ปลดประจำการนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีราคาถูก และขี่ง่ายทำให้ ณ เวลานั้น จำนวนนักขี่ที่ใช้งานมอเตอร์ไซค์ยุโรปในอเมริกาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับด้านสมรรถนะ เสน่ห์ดึงดูดอีกอย่างหนึ่งของรถยุโรปก็คือสีสันที่ในเวลาต่อมาไม่นาน ความนิยมด้านงานสีได้ถ่ายทอดสู่วงการคัสตอมรถยนต์ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นรถประเภท Hot Rod และการแข่ง Drag racing ในเวลาต่อมา
เวลาเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงช่วงกลางของยุค 50s เหล่านักคัสตอมสายเลือดใหม่ในอเมริกาได้สร้างสรรค์เอกลักษณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยยังคงมี Harley-Davidson เป็นมอเตอร์ไซค์หลักที่ถูกใช้เป็นพื้นฐานเช่นเคย การดึงเอาเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ Dragster มาใช้งาน เพิ่มช่วงหน้าที่ยาวและเอียงขึ้นเข้าไป เปลี่ยนไปใช้วงล้อที่ใหญ่ขึ้นและสลับเอาถังเชื้อเพลิงที่มีขนาดเล็กลงใส่เข้าไปแทนที่ของเดิม เติมสีสันฉูดฉาดรวมถึงลวดลายแบบ pin-striped ให้ตัวรถมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหลักไมล์สำคัญของวงการรถคัสตอม ซึ่งการรื้อและเปลี่ยนพาร์ทต่างๆของมอเตอร์ไซค์นี้ได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Kustom Kulture ที่ยังคงถูกส่งต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน
เมื่อความนิยมของมอเตอร์ไซค์ที่มีช่วงหน้ายาวขึ้น ทำให้มีความจำเป็นต้องจัดการกับเฟรมของรถเสียใหม่ และเพื่อการนั้นจึงจำเป็นต้องรื้อพาร์ททุกชิ้นออกอย่างสมบูรณ์ก่อที่จะทำการตัดแต่งตัวเฟรมของรถได้ และมอเตอร์ไซค์ที่ยืดขยายช่วงหน้าให้ยาวขึ้นนี้ก็เป็นที่มาของชื่อเรียก Chopper ในเวลาต่อมา นอกจากนี้เหล่าบิลเดอร์ยังคงพัฒนารูปแบบของ Chopper ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นกระทั่งในช่วงยุค 60s ก็มีภาพจำจากภาพยนตร์เรื่อง Easy Rider จากปี 1969 เป็นเครื่องพิสูจน์เอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Chopper
Easy Rider ภาพยนตร์ที่ตอกย้ำความนิยมที่มีต่อช็อปเปอร์
ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมสองล้อในทวีปยุโรปก็มีนักขี่จากสหราชอาณาจักรที่คอยขับเคลื่อนวงการด้วยสไตล์ที่แตกต่างจากทางฝั่งของอเมริกา การพบปะสังสรรค์ที่คาเฟ่ของเหล่าไบเกอร์สายเลือดใหม่นั้นก่อเกิดเป็นกิจกรรมยอดนิยมใหม่อย่างการแข่งขันกันโดยมีคาเฟ่แห่งหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและไปสิ้นสุดที่คาเฟ่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาก็เป็นที่รู้จักกันในนาม café racer ในเวลาต่อมา ซึ่งชื่อเรียกนี้ไม่เพียงใช้เรียกตัวของนักขี่เท่านั้น ยังรวมถึงบรรดามอเตอร์ไซค์คู่ใจของพวกเขาอีกด้วย
ด้วยจุดประสงค์ที่เกิดจากการแข่งขึ้น ความเร็วที่แตะระดับ 100 mph (160 km/h) จึงเป็นเป้าหมายหลักสำหรับเหล่า café racer และมอเตอร์ไซค์ที่สามารถทำความเร็วได้ในระดับนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เหล่านักขี่วัยรุ่นจะสามารถจับต้องกันได้ง่ายๆ ดังนั้น สิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการของพวกเขาได้ก็คือการลงมือทำในแบบเดียวกับนักขี่ฝั่งอเมริกา โดยการนำมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าที่มีราคาถูกกว่า มาคัสตอมให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ราคาเกินเอื้อม หัวใจสำคัญของการคัสตอมในสไตล์อังกฤษนั้น การทำความเร็วและการบังคับรถคือสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนที่รองลงมาก็คือแฮนเดิลบาร์ยาว เบาะนั่งที่ถอยร่นไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะติดตั้งเอาไว้ได้ และชุดพักเท้าหลังที่ติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งที่นักขี่จะสามารถหมอบราบไปกับตัวรถเพื่อลดแรงต้านจากกระแสลม
มอเตอร์ไซค์ café racer ณ ชั่วโมงนั้นนิยมสร้างขึ้นจากการรวมมอเตอร์ไซค์สองแบรนด์เข้าด้วยกัน เช่น Triton ที่เกิดจากการนำเครื่องยนต์ของ Triumph ติดตั้งเข้ากับเฟรมของ Norton หรือ Tribsa ที่มาจากการใช้เครื่องยนต์ของ Triumph ติดตั้งเข้ากับเฟรมของ BSA หรือในกรณีของนักขี่ที่พอจะมีกำลังทรัพย์ก็จะเลือกนำเครื่องยนต์ V-twin ของ Vincent มาติดตั้งเข้ากับเฟรมของ Norton จนกลายเป็น Norvin อย่างไรก็ตาม ยิ่งใช้ต้นทุนในการคัสตอมมากเท่าไร มอเตอร์ไซค์เหล่านี้ก็ยิ่งหายากมากขึ้นเท่านั้น
การแข่งจากคาเฟ่สู่คาเฟ่ กิจกรรมสุดเร้าใจที่ให้กำเนิด cafe racer
Café racer จึงกลายเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และอยู่ในกระแสมาตลอดกระทั่งผ่านยุค 50s และ 60s เข้าสู่ช่วงต้นยุค 70s วงการสองล้อยุโรปต้องสั่นสะเทือนกับการปรากฏตัวของมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นที่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเข้ายึดครองตลาดยุโรปได้สำเร็จ ด้วยวัตถุดิบที่ราคาถูกลง และดูแลง่ายขึ้น การคัสตอมมอเตอร์ไซค์จึงทำได้ง่ายขึ้นเช่นกัน สปอร์ตไบค์จากฝั่งญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาลจึงถูกนำมาถอดพาร์ทที่ไม่จำเป็นออกไป เปลี่ยนแฮนเดิลบาร์แบบโมโตครอสเข้าไปแทนที่ แต่งท่อให้เสียงดังขึ้นกว่าเดิม และเสริมด้วยโคมไฟหน้าแบบสองดวงที่แสนจะโดดเด่นสะดุดตา กลายเป็นมอเตอร์ไซค์ Streetfighter ที่ขี่ง่ายและมาพร้อมสมรรถนะกับดีไซน์ดีไซน์ดุดัน
มอเตอร์ไซค์สตรีทไฟเตอร์
กระแสนิยมของเหล่านักขี่นั้นเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บรรดาผู้ผลิตไม่อาจมองข้ามได้ อะไรบ้างที่เหล่านักขี่ได้จัดการกับมอเตอร์ไซค์ที่ซื้อไป นำไปสู่การที่ตัวผู้ผลิตเองเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านการคัสตอมออกมาจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเจ้ามอเตอร์ไซค์ factory custom โมเดลแรกในประวัติศาสตร์ก็คือ Harley-Davidson Super Glide ที่เป็นการนำช่วงหน้าของ Sportster มาติดตั้งเข้ากับแชสซีของ FL models ก่อนที่จะมีอีกหลายโมเดลตามมา ในเวลาเดียวกันนั้นเอง คัสตอมการาจหลายแห่งก็พากันปล่อยของ กับโปรเจ็คต์ที่แสนจะทะเยอทะยานมากขึ้น ด้วยการสร้างพาร์ทต่างๆขึ้นมาเองเกือบทั้งหมด และผลงานที่ได้นั้น เรียกว่าเป็นงานศิลปะที่สามารถขี่ได้ก็ไม่ผิดนัก ทว่าโดยส่วนมากจะเป็นงานคัสตอมระดับไฮ-เอนด์ที่มีราคาเกินเอื้อมสำหรับนักขี่ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม กระแสการคัสตอมหรือการขี่มอเตอร์ไซค์คัสตอมก็ยังคงแรงดีไม่มีวีแววว่าจะสร่างซาลงไป ซึ่งหมายความว่าเราจะยังคงได้เห็นพัฒนาการของมอเตอร์ไซค์คัสตอมหลากหลายรูปแบบไปอีกแสนนาน
Harley-Davidson Super Glide ปี 1971
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... bikesure.co.uk