อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์คือความปลอดภัย และอุปกรณ์ที่สร้างความความอุ่นใจให้กับนักขี่ก็คือหมวกกันน็อก เป็นที่ทราบกันดีว่าหมวกกันน็อกช่วยลดอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้อย่างมาก นับรวมไปถึงช่วยป้องกันทั้งฝุ่น ลม แมลงต่างๆ และเศษหินได้เป็นอย่างดี ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ สำหรับนักขี่หลายต่อหลายคน มอเตอร์ไซค์กับหมวกกันน็อกนั้น กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แล้วหมวกกันน็อกหล่อๆ ทนทาน ปลอดภัยที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้มีที่มาอย่างไร แล้วกว่าจะมาเป็นหมวกกันน็อกที่นอกจากจะใช้งานเพื่อความปลอดภัยแล้วยังมีดีไซน์ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้
แรกเริ่มเดิมทีมอเตอร์ไซค์ที่เราคุ้นตากันอยู่ทุกวันนี้นั้น มีต้นกำเนิดจากพาหนะที่เรียกว่า “motorized bicycles” ในช่วงต้นยุค 1900s ที่พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเป็นหลัก ไม่ได้ชูสมรรถนะของตัวรถเป็นจุดขายเหมือนกับยุคปัจจุบัน จึงยังไม่มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยของตัวนักขี่ อย่างไรก็ตามยานพาหนะที่ดัดแปลงขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวก ก็กลายเป็นพาหนะที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ทำความเร็วได้มากขึ้น โดยเฉพาะรถที่ใช้สำหรับแข่งขันหลังจากเป็นที่นิยมในเวลาไม่นาน จึงมีการคิดค้นอุปกรณ์ป้องกันศีรษะของของนักแข่งขึ้นมาใช้งานเป็นครั้งแรกในปี 1914 โดยแพทย์ชาวอังกฤษ Dr. Eric Gardner ที่นำข้อมูลจากการรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ มาวิเคราะห์และประดิษฐ์เป็นหมวกหนังที่หุ้มด้วยผ้าใบหนาทำหน้าที่ปกป้องส่วนบนของศีรษะ
หมอ Gardner ได้ผลักดันให้นักแข่งในรายการ Isle of Man TT การแข่งมอเตอร์ไซค์รายการใหญ่ที่สุด ณ เวลานั้นเริ่มต้นใช้งานสิ่งประดิษฐ์ของเขา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อคณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ออกกฎให้อุปกรณ์ป้องกันศีรษะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญสำหรับการแข่งขันทันทีหลังจากจบการแข่งของปีนั้นได้ไม่นาน
อย่างไรก็ตามเหล่านักขี่มากมายที่มอเตอร์ไซค์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันกลับปฏิเสธที่จะใช้งานหมวกป้องกันศีรษะหน้าตาประหลาด หมวกกันน็อกของหมอ Gardner จึงไม่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น ส่วนนักขี่บางคนเลือกใช้หมวกหนังของนักรักบี้แทนหมวกของหมอ Gardner ซึ่งจุดประสงค์ของนักขี่เหล่านี้ ก็ยังไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย แต่เลือกสวมหมวกหนังก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผมเสียทรง อีกทั้งยังหล่อเมื่อใช้งานคู่กับแว่นกันลม goggles อีกด้วย หมวกหนังกับแว่น goggles จึงเป็น riding ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงต้นยุค 1900s
จุดเริ่มต้นแห่งความปลอดภัย กับการตายของไอคอน
วงการมอเตอร์ไซค์ต้องตั้งคำถามถึงความปลอดภัยจากการขี่มอเตอร์ไซค์อย่างจริงจัง เมื่อปี 1935 เกิดอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตของ T.E Lawrence หรือ “Lawrence of Arabia” เจ้าหน้าที่คนสำคัญของกองทัพอังกฤษ และนักการทูต โดยเจ้าหน้าที่คนดังเสียชีวิตจากการบาดเจ็บร้ายแรงที่ศีรษะ และเหตุสูญเสียครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันให้เกิดมาตรฐานความปลอดภัยเป็นครั้งแรก
T.E Lawrence (Lawrence of Arabia) กับมอเตอร์ไซค์คู่ใจ Brough Superior Limited
Dr. Hugh Cairns แพทย์ชาวอังกฤษหนึ่งในคณะรักษา Lawrence ในช่วงโคม่า 6 วันก่อนเสียชีวิต ได้เริ่มวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ กับอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ และได้ตีพิมพ์งานวิจัยลงในวารสารวิชาการแพทย์ของประเทศอังกฤษ จนนำไปสู่การบังคับใช้อุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกนายของกองทัพ โดยเฉพาะบรรดาม้าเร็วส่งสาร โดยหมวกกันน็อกที่บังคับใช้ผลิตขึ้นจากแผ่นยางและไม้คอร์ก
Dr. Hugh Cairns หนึ่งในคณะแพทย์ทหารที่พยายามยื้อชีวิตของ T.E Lawrence
จุดเริ่มต้นของ หมวกกันน็อกยุคใหม่
สมรรถนะของมอเตอร์ไซค์นั้น ยิ่งนับวันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเร็วที่สามารถทำได้ก็สูงขึ้น ทว่า สำหรับผู้คนทั่วไปแล้ว การป้องกันศีรษะยังคงไม่ตอบโจทย์ความปลอดภัยเท่าที่ควร ถึงขั้นที่หมวกกันน็อกเคยได้ชื่อว่าเป็น “ถ้วยใส่ขนมพุดดิ้ง” โดยดีไซน์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบหมวกทรงกะลาที่ประดับด้วยสายหนัง กระทั่งปี 1953 ก็เกิดการพัฒนาครั้งใหญ่ของหมวกกันน็อกขึ้น
หมวกกันน็อกที่ถูกเรียกว่า “ถ้วยใส่ขนมพุดดิ้ง”
C.F. Lombard อาจารย์มหาวิทยาลัย USC ได้ทำการปฏิวัติและพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันศีรษะ โดยเพิ่มความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกให้กับหมวกกันน็อก ด้วยการออกแบบให้หมวกกันน็อกประกอบด้วยวัสดุที่ต่างกันสามชั้น เชลชั้นนอกผลิตจากไฟเบอร์กลาส ชั้นกลางเป็นโฟมทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทก และชั้นในสุดใช้ผ้าไลเนอร์เพื่อให้ความนุ่มสบายศีรษะ ซึ่งแบรนด์ดังอย่าง Bell ก็ได้แพทเทิร์นของ Lombard ไปใช้งานหมวกกันน็อกโมเดล 500 ซึ่งถูกยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของหมวกกันน็อกของยุคใหม่รวมถึงมาตรฐานของหมวกกันน็อกสำหรับการแข่งขัน แต่ก็ยังคงไม่ได้การตอบรับที่ดีจากเหล่านักขี่บนท้องถนน
จนกระทั่งปี 1963 ได้มีหมวกกันน็อกแบบเต็มใบออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก แม้หมวกกันน็อกระดับไฮ-เอนด์นี้ใช้เทคโนโลยีและวัสดุเกรดเดียวกันกับหมวกกันน็อกของนักบินกองทัพอากาศอเมริกา ราคาจึงสูงมาก แต่ด้วยประสิทธิภาพในการป้องกันที่ให้กับนักขี่ได้มากกว่า ทำให้เหล่านักขี่หันมาเลือกใช้หมวกกันน็อกกันอย่างล้นหลาม อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะจริงๆที่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบออกว่างขาย เพราะในปีต่อมา ได้มีการก่อตั้งมาตรฐานความปลอดภัย USDOT ขึ้นเป็นครั้งแรก และเริ่มบังคับใช้เป็นกฎหมายสำหรับหมวกกันน็อกแบบ “Street Legal” จะต้องมาตรฐานในปี 1966
อย่างไรก็ตาม ต้องใช้เวลากว่า 9 ปีในการบังคับใช้กฎหมายมาตรฐานหมวกกันน็อกได้อย่างสมบูรณ์ในปี 1975 ทว่าช่วงเวลานับจากเริ่มบังคับใช้กฎหมายก็สามารถเพิ่มจำนวนนักขี่ที่ใช้งานหมวกกันน็อกขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหลายแบรนด์ยังนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้เพิ่มความปลอดภัย และอื่นๆที่จำเป็นสำหรับอุปกรณ์นี้ กระทั่งหมวกกันน็อกกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับนักขี่ทั้งด้านความปลอดภัย และในแง่ของแฟชั่นอย่างที่สามารถพบเจอได้ในปัจจุบัน
Evil Kneivel ยอดนักขี่ผาดโผนกับหมวกกันน็อกแบบ fullface ที่หลายคนคุ้นเคย
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... bikebandit.com