เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าแบตเตอรี่ที่สามารถทำการรีชาร์จพลังงานได้ถูกคิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นประมาณปี 1975 โดย John B. Goodenough ซึ่งมีทั้งคุณสมบัติด้านความหนาแน่นของพลังงานสูงและยังเป็นแบตเตอรี่ Lithium-Ion ตัวแรกของโลก กระทั่งในปี 1992 ทาง Sony ได้นำคอนเซ็ปต์ของแบตเตอรี่ชนิดนี้มาประกอบโฆษณา ซึ่งทำให้ความนิยมในแบตเตอรี่ Li-ion เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงมีการพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดนี้อย่างจริงจังจนนำไปสู่การใช้งานกับยานพาหนะ และยังกลายมาเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับยานพาหนะจนถึงปัจจุบันนี้
แต่ถึงแม้แบตเตอรี่ Li-ion จะมีคุณสมบัติเก็บไฟฟ้าได้นาน ชาร์จเพิ่มประจุได้ ทนทาน และน้ำหนักเบา รวมทั้งจ่ายกระแสไฟได้แรงจนสามารถขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าของมอเตอร์ไซค์อย่างที่มีการใช้งานกันในชีวิตประจำวันกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น และมีผู้ผลิตหลายรายก็สามารถคลองใจผู้ใช้งานด้วยสมรรถนะที่เร้าใจ แต่หากเทียบกับมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์สันดาปในแบบที่เห็นกันทั่วไปตามท้องถนนแล้วล่ะก็ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังขาดส่วนสำคัญที่ถือว่าเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่เหล่านักขี่ต้องการอย่าง “คุณสมบัติโดยรวม” อยู่
อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลา แน่นอนว่าตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา ความพยายามในการพัฒนาของเหล่าผู้เชี่ยวชาญก็สามารถขับเคลื่อนยานพาหนะด้วยพลังงานไฟฟ้าได้สำเร็จโดยมีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานหลัก และเมื่อมองที่วิวัฒนาการของมอเตอร์ไซค์ อาจจะยกตัวอย่างง่ายๆเช่น มีแนวคิดการใช้คาร์บอนไฟเบอร์กับโลหะนำหนักเบาอย่างอลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักของรถมาตั้งแต่ช่วงยุค 90s แล้ว และยังต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปี ที่สวิงอาร์มคาร์บอนไฟเบอร์จะกลายมาเป็นที่นิยมและใช้งานกันจนแทบจะกลายเป็นมาตรฐานในการแข่งขัน MotoGP ไปแล้วอย่างทุกวันนี้
แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนผู้คนอาจคิดไปได้ว่าเทคโนโลยีสามารถมอบเกือบทุกสิ่งที่ผู้คนต้องการให้ได้ และมีผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าออกมาแล้วหลายราย รวมถึงที่ผู้ผลิตรายใหญ่ๆต่างพากันลงชื่อเข้าร่วมลงทุนในพื้นที่ตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ากันแล้ว ทว่ายังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้เหล่านักขี่จำนวนมากมองข้ามไป เช่นระยะทางในการขี่ที่สามารถทำได้ยังไม่ไกลเพียงพอต่อการเดินทางท่องเที่ยว ขนาดของแบตเตอรี่สำรองที่ยังไม่เหมาะต่อการพกพา จำนวนสถานที่ให้บริการ กับเวลาในการชาร์จพลังงานยังไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
ดังนั้นการที่มอเตอร์ไซค์พลังงานทางเลือกอย่างมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่มอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์สันดาปในนั้น แม้จะมีความเป็นไปได้แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าวันที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะเพียบพร้อมไปด้วยสมรรถนะและ “คุณสมบัติโดยรวม” ที่เหล่านักขี่ต่างใฝ่หาจะมาถึง
เช่นเดียวกับความผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ของ John D. Clark อย่างเชื้อเพลิงจรวด (Rocket-fuels) ที่เริ่มคิดค้นขึ้นนับตั้งแต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการขับเคลื่อนในช่วงสงครามเย็น เมื่อเหล่านักเคมีสามารถคำนวณอัตราการทดแทนที่เหมาะสมระหว่างเชื้อเพลิงและโมเลกุลออกซิไดเซอร์ตามหลักทฤษฎี ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในทางปฏิบัติ โดยเชื้อเพลิงจรวด หรือ RP-1 ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับเชื้อเพลิงของเครื่องบิน โดยจะมีแรงกระตุ้นจำเพาะต่ำกว่าไฮโรเจนเหลว แต่จะมีความเสถียรมากกว่าเมื่อถูกกระตุ้นขณะอยู่ในอุณหภูมิห้อรวมถึงแต่จะไม่เป็นอันตรายจากการระเบิด ที่สำคัญคือมีราคาถูกมากหากเทียบกับเชื้อเพลิงยานพาหนะทั่วไป ทว่าเชื้อเพลิงชนิดนี้ยังประกอบไปด้วยสารพิษและสารก่อมะเร็งอีกด้วย
ปัจจุบันจรวดขนาดใหญ่ยังใช้ RP-1 ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันก๊าดและออกซิเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิงมาตรฐานอยู่ แม้มีการวิจัยรวมถึงเริ่มมีการนำเชื้อเพลิงชนิดนี้มาใช้ผสมเพื่อเพิ่มค่าออกเทนให้กับเชื้อเพลิงของมอเตอร์ไซค์บ้างแล้ว แต่การปรับสูตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้และลดสารก่อมลพิษลงแล้วแต่ก็ยังคงต้องพัฒนาต่อไปอีกอย่างน้อย 50 ปี
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... cycleworld.com