Ariel Square Four หนึ่งในมอเตอร์ไซค์ขนาด “ใหญ่” ยอดนิยมสัญชาติอังกฤษขนานแท้ที่สามารถขับเคี่ยวกับ Brough Superior และ Vincent HRD ได้อย่างสูสี ทั้งยังเป็นมอเตอร์ไซค์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการขี่ระยะใกล้ในยุคที่นิยมมอเตอร์ไซค์สำหรับใช้แข่งขัน และบรรดาผู้ผลิต ณ เวลานั้นต่างแข่งขันกันที่สมรรถนะในการรีดเร้นกำลังเครื่องยนต์เพื่อทำความเร็วของรถ
Edward Turner วิศวกรผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของอังกฤษ ซึ่งการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นจุดเริ่มเส้นทางอาชีพของเขา ได้ออกแบบเครื่องยนต์ overhead camshaft หนึ่งสูบสำหรับมอเตอร์ไซค์ขึ้นในปี 1925 และสองปีต่อมาเขาก็ได้สร้างมอเตอร์ไซค์โมเดลแรก “Turner Special” ขึ้นโดยมีเครื่องยนต์ OHC 350 ซีซี หนึ่งสูบมาพร้อมกับชุดเกียร์ Sturmey-Archer สามสปีดเป็นขุมพลัง ต่อมา Turner ได้สร้างทฤษฎีในการนำเครื่องยนต์ Parallel twin ของ Triumph Bonneville มารวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยอาศัย Crankshaft สองตัวที่ติดตั้งให้หมุนในทางตรงกันข้ามเพื่อที่จะหักล้างผลของไจโรสโคปของกันและกันได้ รวมถึงการเซตอัพลูกสูบให้หันไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อรักษาสมดุล ซึ่งผลที่ได้ควรจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีความสมดุลและทำงานได้อย่างนุ่มนวล
เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่ Edward Turner ทุ่มเทให้กับการค้นคว้างานต้นแบบเครื่องยนต์ T-square เพื่อนำมาใช้สร้างเครื่องยนต์ Square four แบบ overhead camshaft ที่ประกอบด้วย Crankshaft สองตัวและมาพร้อมโซ่ขับเคลื่อน Turner ได้นำเสนอให้กับผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ๆ ทว่าทาง BSA ได้ปฏิเสธผลงานชิ้นนี้ของเขา แต่ถึงอย่างนั้น Ariel อีกหนึ่งผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงของอังกฤษได้แสดงความสนใจต่อผลงานออกแบบชิ้นนี้อย่างชัดเจน จนในที่สุด Ariel ได้เสนอตำแหน่งวิศวกรให้กับ Edward Turner เพื่อมาทำงานร่วม Bert Hopwood โดยมี Val Page เป็นหัวหน้าฝ่ายคอยควบคุมการทำงาน
THE ARIEL SQUARE FOUR 4F, 4G AND 4H
มอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ Square four รุ่นต้นแบบของ Turner นั้นเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 250 ซีซีที่ติดตั้งบนเฟรมที่ออกแบบมาสำหรับรองรับเครื่องยนต์แบบหนึ่งสูบ โดยเครื่องยนต์ Square four รุ่นต้นแบบนี้ประกอบไปด้วยชุดเกียร์สามสปีด แต่เนื่องจากเป็นรถที่ใช้ต้นทุนในการสร้างสูงเกินไป และการทดลองลดต้นทุนด้วยการตัดครีบลูกสูบออกไปนั้น ไม่ได้ส่งผลดีต่อเครื่องยนต์เลยแม้แต่น้อย ทำให้เจ้ารถรุ่นต้นแบบนี้เดินทางไปไม่ถึงสายการผลิต ในปี 1930 Ariel เปิดตัว Square Four 4F มอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ 498 ซีซี ที่งาน Olympia Motorcycle Show โดยโมเดล F4 นี้ติดตั้งชุดเกียร์ Burman แบบ 4 สปีดแยกออกมาจากเครื่องยนต์ และเป็นมอเตอร์ไซค์แบบ hand shift โดยเฟรมรวมถึงถังเชื้อเพลิงและส่วนอื่นๆของ Ariel SF31 499 ซีซี
ในปี 1931 Ariel Square Four เข้าร่วมการแข่งขันรายการ Maudes Trophy ซึ่งสามารถคว้ารางวัลได้หลายรายการ โดยรายการเด่นๆที่ได้รางวัลมาคือ endurance run เวลา 7 ชั่วโมงที่ Brookland กับระยะทางที่ทำได้ 368 ไมล์ (592.2 กิโลเมตร) การวิ่งแบบ Speed run หนึ่งชั่วโมงที่ Brookland กับระยะทางที่ทำได้ 80 ไมล์ (128.7 กิโลเมตร) จากเป้าหมาย 70 ไมล์ (112.6 กิโลเมตร) และที่น่าสนใจคือการทดสอบที่เรียกกันสนุกๆว่า “Ariel Sevens” คือการให้เด็กนักเรียนเจ็ดคนมาร่วมทำการคิกสตาร์ทคันละเจ็ดครั้ง ผลปรากฏว่าจากการ Ariel Square Four สามารถติดเครื่องได้ในการคิกสตาร์ทครั้งเดียวถึง 48 จากการทั้งหมด 49 ครั้ง
ในปี 1933 Ben Bickell ได้ทำการดัดแปลง Ariel Square Four 4F ด้วยการติดตั้งซูเปอร์ชาร์จเจอร์และนำไปวิ่งที่ Brookland จนสามารถทำความเร็วต่อรอบได้ถึง 110 mph (177 km/h) ทำให้ Ariel F4 Square Four เป็นมอเตอร์ไซค์ 500 ซีซีสัญชาติอังกฤษคันแรกที่สามารถทำความเร็วต่อรอบได้เกิน 100 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่แม้จะมีปัญหาในเรื่องของการเกิดความร้อนสูงเกินไป แต่เครื่องยนต์ OHC สี่สูบของ Ariel Square Four ก็ยังได้รับความนิยมจากเหล่านักขี่และกวาดรางวัลจากการแข่งอย่างต่อเนื่อง กระทั้งมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ในปี 1932 ด้วยการเพิ่มความจุกระบอกสูบเป็น 601 ซีซี พร้อมด้วยความสมูธและความเงียบของเครื่องยนต์ แต่ปัญหาเรื่องความร้อนสูงของลูกสูบคู่หลังยังคงมีอยู่
ในปี 1936 Edward Turner ได้ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปและหัวหน้าดีไซเนอร์ของ Ariel ซึ่งเขาได้โฟกัสไปที่การแก้ปัญหาความร้อนสูงให้กับโมเดล F4 ซึ่งได้ Val Page คอยให้คำปรึกษา และ Page ได้ปรับแต่งเครื่องยนต์ J.A. Prestwich V-twin ของ Brough Superior SS100 ให้เป็นเครื่อง Square Four เพื่อศึกษาสิ่งที่ที่ Ariel ต้องปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาความร้อนสูงของลูกสูบคู่หลัง ผลที่ได้คือ Val Page เพิ่มช่องระบายอากาศให้กับลูกสูบคู่หน้า และเติมครีบให้กับหัวลูกสูบ เพื่อเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของอากาศ รวมถึงปรับตำแหน่งระบบโซ่ขับเคลื่อนและแต่งระบบโอเวอร์เฮดวาล์วใหม่ ทำให้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่จำเป็นต้องมีแรงบิดมหาศาล แต่ทำงานได้ลื่นไหล ทนทาน และบำรุงรักษาได้ง่ายซึ่งเป็นสิ่งมอเตอร์ไซค์ touring ควรจะมี
ในปี 1937 ทั้งโมเดล 4F 600 ซีซี และโมเดลใหม่ 4G พิกัด 1000 ซีซีก็ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ OHV ของ Val Page ซึ่งทั้งสองรุ่นยังปรับมาใช้ช่วงหน้าแบบ Girder และเฟรม rigid อีกด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี ทาง Ariel ได้ตัดสินใจติดรุ่น 4F 600 ซีซีออกไปแล้วมุ่งฟัฒนาเวอร์ชัน 1,000 ซีซี โดยการเพิ่มเวอร์ชัน 4G De Luxe เข้ามาอีกหนึ่งโมเดลและเปลี่ยนเวอร์ชันมาตรฐานเป็น 4H ในปี 1939 กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุขึ้น โมเดล 4F 600 ซีซีก็กลับมาอีกครั้ง
เวอร์ชัน 4G De Luxe และเวอร์ชัน 4F Standard มีความแตกต่างกันเล็กน้อยโดยเวอร์ชัน 4G De Luxe จะติดตั้งบังโคลนหน้าแบบคลุมล้อและมีไซด์-แสตนด์ ส่วนโมเดล 4F จะใช้บังโคลนหน้าแบบปกติ แถมไม่มีไซด์-แสตนด์อีกด้วย โดยในปี 1939 ทาง Ariel ยังมีกันสะเทือนหลัง Anstey-link plunger เป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการเพิ่มเงินเพื่อความนุ่มนวลอีกด้วย
การที่ Ariel Motors Ltd. ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่สองด้วยมอเตอร์ไซค์หนึ่งสูบที่มีทั้งความคล่องตัว ทนทาน และบำรุงรักษาง่าย ทำให้ Square Four ต้องหยุดการผลิตไปจนถึงวันสุดท้ายของสงคราม ในปี 1945 และกับมาผลิตอีกครั้งในปี 1946 โดยเวอร์ชัน 4G De Luxe รุ่นหลังสงครามโลกนี้ถูกเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์ hardtail มาใช้กันสะเทือนหลังรวมถึงเปลี่ยนช่วงหน้าจาก Girder มาเป็น telescopic ซึ่งโมเดลนี้มีการผลิตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปี 1949 ก่อนที่ Ariel Motors จะเปิดตัวโมเดล Square Four ที่เป็นสร้างชื่อในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ARIEL SQUARE FOUR MARK I
เปิดตัวครั้งแรกในปี 1949 เป็นโมเดลที่มีการเปลี่ยนมาใช้กระบอกสูบและหัวลูกสูบอะลูมิเนียมอัลลอยแทนโลหะหล่อ ซึ่งทำให้น้ำหนักของตัวลดหายไป 30 ปอนด์ และและที่สำคัญคือยังมาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ถูกเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย เช่นมอเตอร์ขนาด 70 วัตต์ ส่วนโมเดลปี 1950 มีการเปลี่ยนหน้าปัดเรือนไมล์ใหม่พร้อมปรับแต่งถังเชื่อเพลิงและช่วงหน้าใหม่และ 1951 โดย MARK I มีน้ำหนักแห้งอยู่ที่ 435 ปอนด์ (197 กิโลกรัม) สร้างกำลังเครื่องยนต์ได้ 35 แรงม้าที่ 5,500 rpm โดยความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 90 mph (144.8 km/h)
ARIEL SQUARE FOUR MARK II
เป็นโมเดลที่เปิดตัวในปี 1953 ทั้งยังได้รับการปรับแต่งดีไซน์ใหม่เครื่องยนต์ใหม่โดยแยกกระบอกสูบออกจากัน รวมถึงเปลี่ยนทรงของหัวลุกสูบเพื่อแก้ปัญหาความร้อนสูงที่จากเดิมลูกสูบคู่หลังจะได้รับลมร้อนที่เกิดจากการระบายลมที่ไหลเวียนผ่านลูกสูบคู่หน้าซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้การระบายความร้อนทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ตามด้วยเปลี่ยนท่อไอเสียเป็นคู่แบบสองออกหนึ่งติดตั้งเอาไว้ทั้งฝั่งซ้ายและขวาของตัวรถ เช่นเดียวกับการผสานท่อรวมไอดีและฝาร็อคเกอร์เข้าไว้เป็นชิ้นเดียว และติดตั้งคาร์บูเรเตอร์ SU สุกคลาสสิกของอังกฤษเข้าไป จึงทำให้ต้องมีการปรับแต่งเฟรมเล็กน้อย ผลที่ได้คือความสูงของเบาะนั่งก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ทั้งโมเดล MARK I และ MARK II ยังคงออกขายคู่กันอยู่ในปี 1953 ซึ่งในปีต่อมาทาง Ariel ก็ได้ตัดสินในปิดสายการผลิตโมเดล MARK I ไปในที่สุด โดยมีการเปลี่ยนมาติดตั้งเบาะนั่งสำหรับผู้โดยสารเอาไว้กับโมเดลปี 1954 ด้วย จากนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยกับโมเดล Mark II เช่นการเพิ่มฮู๊ดเข้าไปที่โคมไฟหน้า ครอบโช๊คหน้าและ และย้ายเรือนไมล์มาติดตั้งไว้กับแฮนเดิลบบาร์โมเดลปี 1956 โดยเครื่องยนต์ของ Mark II นั้นสามารถสร้างกำลังเครื่องได้ 40 แรงม้าและลดน้ำหนักลงได้เล็กน้อยโดยน้ำหนักแห้งอยู่ที่ 435 ปอนด์ (197 กิโลกรัม) แต่ถึงอย่างนั้น Ariel ได้ปิดสายการผลิต Mark II ไปในปี 1959 และแม้จะเป็นโมเดลที่เลิกผลิตไปแล้ว Mark II ก็ยังเป็นที่ต้องการของเหล่านักขี่ รวมถึงนักสะสมอยู่เสมอ
HEALEY 1000/4
ในปี 1971 George และ Tim Healey สองพี่น้องผู้คลั่งไคล้เครื่องยนต์ Square Four ได้พยายามสร้างมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ Square Four เวอร์ชันใหม่โดยกำหนดให้เป็นโมเดลรุ่นจำกัดจำนวน โดยโมเดลของพี่น้อง Healey นั้นเป็นรถคัสตอมสำหรับแข่ง Drag sprint ที่มีการนำซูเปอร์ชาร์จเจอร์มาใช้งาน ซึ่งสามารถรีดสมรรถนะของรถออกมาได้มากขึ้นราวๆ 20 เปร์เซ็นต์ โดยเครื่องยนต์ Square Four supercharge นี้ถูกนำไปติดตั้งเอาไว้กับเฟรม Egli ที่มีน้ำหนักเบา โดยตัวรถยังประกอบด้วยช่วงหน้าโลหะ เพื่อความทนทาน และชุดดรัมเบรคนำเข้าจากอิตาลี
เมื่อเทียบกับโมเดล Mark II ของ Ariel Motors แล้ว Healey 1000/4 โมเดลนี้มีน้ำหนักน้อยกว่าถึง 80 ปอนด์ โดยมีกำลังเครื่องยนต์ 50 แรงม้าที่ 6,000 rpm ใช่การระบายความร้อนด้วยน้ำมันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายความร้อน Healey 1000/4เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีดีไซน์ที่ทันสมัยกว่าเวอร์ชันดั้งเดิมของ Edward Turner มากพอสมควร แต่ยังคงความยอกเยี่ยมในการบังคบรถรวมถึงมีสมรรถนะสูงและน้ำหนักเบาแบบที่ Edward Turner ได้ออกแบบเอาไว้ตั้งแต่ปี 1930 เพียงแต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยียุค 70s ทั้งนี้ Healey 1000/4 มอเตอร์ไซค์รุ่นจำกัดจำนวนโมเดลนี้ผลติออกมาเพียง 28 คันเท่านั้น และเงียบหายไปในปี 1977
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... silodrome.com