เรื่องราวความเป็นมาของมอเตอร์ไซค์ครุยเซอร์รุ่นใหญ่เริ่มต้นขึ้นในปี 1922 โดย Indian Chief รุ่นแรกออกแบบโดย Charles Bayly Franklin ติดตั้งเครื่องยนต์ V-Twin flathead 42° ขนาด 62 ลูกบาศก์-นิ้ว (1 ลิตร) ซึ่งหมายความว่าทาง Indian Motorcycle ไม่ได้ตั้งใจให้ Chief มอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่นี้เป็นรถสปอร์ต หากแต่จะถูกสร้างขึ้นในฐานะของมอเตอร์ไซค์ Touring ที่มีกำลังมากพอจะทำระยะได้ไกลและติดไซด์คาร์ ทั้งยังเป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีกำลังเครื่องยนต์และความสารมารถในการบรรทุกสัมภาระซึ่งถูกสเปคของกรมตำรวจอีกด้วย
ณ เวลานั้น Indian Chief คือมอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่ที่สุดของ Indian ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้จะมีเรื่องของการบังคับรถซึ่งยากกว่ามอเตอร์ไซค์รุ่นที่เล็กกว่าอย่าง Indian Scout ก็ตาม ด้วยความนิยมนี้เองที่ส่งผลให้ Indian ตัดสินใจได้ว่าเครื่องยนต์ 1,000 ซีซีนั้น เล็กเกินไปแล้วสำหรับมอเตอร์ไซค์รุ่นท็อปของพวกแบรนด์ ดั้งนั้นเครื่องขนาด 72 ลูกบาศก์-นิ้ว (1,200 ซีซี) ก็ได้ถูกนำมาใช้งานกับ Indian Chief เป็นครั้งแรกในปี 1924 และเรียกโมเดลที่ใหญ่ขึ้นนี้ว่า ‘Big Chief’ กระทั่งปี 1927 Indian Motorcycle ได้เข้าซื้อกิจการของ Ace Motorcycle Company และได้เริ่มพัฒนามอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ In-line four ขึ้นในชื่อ Indian Ace และเปลี่ยนเป็น Indian Four ในเวลาต่อมา แม้จะมีมอเตอร์ไซค์โมเดลใหม่ที่น่าสนเกิดขึ้นแต่ Indian Chief ก็ยังคงรักษาตำแหน่งมอเตอร์ไซค์ยอดนิยมเอาไว้ได้แต่ก็ยังแบ่งปันพื้นที่กับ Indian Four ไปในเวลาเดียวกัน
Charles Bayly Franklin ดีไซเนอร์และวิศวกรชาวไอริช อดีตนักแข่งรายการ Isle of Man TT ผู้นี้เริ่มงานออกแบบกับ Indian ด้วยการปรับปรุงเครื่องยนต์ Powerplus ที่ออกแบบโดย Charles Gustafson ซึ่ง Franklin ได้สร้างไซด์วาล์วประสิทธิภาพสูงขึ้นจากนั้นก็แทนที่ด้วย overhead-valve, multiple-valve, และ overhead camshaft ซึ่งเป็นที่นิยมในวงการรถแข่งในเวลาต่อมาเนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังมากเพียงพอแต่มีดีไซน์ที่ไม่ซับซ้อนเท่าที่เคยใช้งาน จากนั้น ในปี 1920 Franklin ได้เริ่มต้นออกแบบมอเตอร์ไซค์ Indian Scout ให้กับ Indian Motorcycle เป็นโมเดลแรก และในปี 1922 ก็ให้กำเนิด Indian Chief นั่นเอง โดยเลือกใช้ dual camshaft และคลัตช์เปียกกับเครื่องยนต์ 62 ลูกบาศก์-นิ้ว
สิ่งที่น่าสนใจคือ Franklin ไม่ได้ออกแบบให้ Chief ติดตั้งกันสะเทือนหลัง โดยระบบกันสะเทือนของรถมีเพียงช่วงหน้าแบบ Leaf Spring เท่านั้น และใช้งานดีไซน์ดั้งเดิมนี้ไปจนถึงปี 1940 ที่มีการปรับมาใช้กรันสะเทือนหลัง และโมเดลปี 19404 นี้เองที่สร้างตำนานบังโคลนหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ Indian Motorcycle แหละเมื่อภัยสงครามรุกคืบเข้ามา มอเตอร์ไซค์ของ Indian จำนวนหนึ่งก็ถูกส่งเข้าร่วมเป็นยุทโธปกรณ์ของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรและกระจายไปทั่วทวีปยุโรป กระทั่งสงครามจบลง Indian Chief ได้ถูกพิจารณาให้เป็นโมเดลของยุคก่อนสงครามโลก และมีการปรับปรุงดีไซน์ของรถอีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนช่วงหน้าจากแบบ Leaf Spring มาใช้เป็นแบบ Girder
การปรับดีไซน์นั้นว่ากันว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษอย่าง Vincent Motorcycles อย่างไรก็ตามปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากการป้อนมอเตอร์ไซค์เข้าไปประจำการในกองทัพช่วงสงครามโลกได้สร้างปัญหาทางการเงินให้ Indian Motorcycle ในเวลาต่อมาไม่นานนัก ส่งผลให้มาสามารถพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ๆได้ได้ด้วยตัวเอง ขณะที่ Vincent สามารถพัฒนาหนึ่งในเครื่องยนต์ V-twin ของวงการมอเตอร์ไซค์ออกมาได้สำเร็จ จึงเกิดเป็นไอเดียในการส่งตัวรถเปล่าของ Indian Chief ที่ไม่มีเครื่องยนต์ไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อทำการทดสอบติดตั้งเครื่องยนต์ของ Vincent ในเวลาต่อมา
การที่เครื่องยนต์ V-Twin พร้อมเกียร์สี่สปีดสามารถติดตั้งเข้ากับเฟรมของ Indian Chief ได้อย่างลงตัวโดยที่มีการปรับแต่งบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเจ้ารถต้นแบบที่เกิดจากการร่วมมือกันของสองผู้ผลิตนี้ถูกเรียกว่า “Vindian” ที่นอกจากจะติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่ Vincent ยังทำกรปรับสไตล์และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการบังคับรถให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย หากแต่มอเตอร์ไซค์รุ่นต้นแบบนี้ควรจะเป็นโมเดลที่สามารถช่วยให้ทั้ง Indian Motorcycle และ Vincent Motorcycles พ้นจากวิกฤตทางการเงิน แต่ถึงอย่างนั้น Indian เลือกที่จะไม่เดินหน้าโครงการ Vindian ต่อ แต่ก็ไม่มีการพัฒนาหรือปรับปรุง Indian Chief แต่อย่างใด สุดท้ายปี 1953 ทาง Indian Motorcycle จึงต้องปิดกิจการไปในที่สุด
มีการเปลี่ยนเล็กน้อยหลายอย่างกับ Indian Chief ช่วงหลังจากสิ้นสุดสงครามโลก ซึ่งมีทั้งดีและไม่เหมาะอย่างยิ่ง เช่นในปี 1948 มีการเปลี่ยนจากชุด oil pump ที่ใช้เหล็กเป็นวัสดุแทนที่ด้วยอลูมิเนียมอัลลอยที่มีต้นทุนต่ำกว่า ในปี 1949 ไม่มีการผลิตเพิ่มเติมเนื่องจากเป็นช่วงที่อยู่ในช่วงพัฒนารถรุ่นต้นแบบด้วยความร่วมมือกับ Vincent แต่เมื่อยกเลิกโครงการ Vindian แล้ว ก็เริ่มการอัพเกรดเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้งในปี 1950 เรื่อยไปจนถึงวันปิดกิจการในปี 1953
การอัพเกรด Indian Chief ที่สำคัญๆคือการเปลี่ยนมาใช้งานช่วงหน้า Telescopic รวมถึงเพิ่มขนาดเครื่องยนต์เป็น 80 ลูกบาศก์-นิ้ว (1,300 ซีซี) รวมถึงติดตั้งเรือนไมล์ที่วัดความเร็วจากล้อหน้า ซึ่งมีความแม่นยำยิ่งขึ้น ทว่าตั้งแต่ปี 1951 เป็นต้นมา Indian เลือกที่ทำการลดต้นทุนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ด้วยการเปลี่ยนมาใช้พาร์ทที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่นการนำคาร์บูเรอเตอร์ของ Amal มาใช้งานแทน American Linkert ซึ่งทำให้รถไม่สามารถแสดงสมรรถนะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Harley-Davidson ที่ใช้ชุดเกียร์ synchromesh สี่สปีดแล้ว Indian Chief ได้หลุดจากการเป็นคู่แข่งสำคัญไปนับตั้งแต่ ณ เวลานั้น แม้จะปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่ปี 1953 ทาง Indian Motorcycle ยังมีการประกอบ Indian chief ขึ้นจากพาร์ทที่ใช้ดั้งเดิมก่อนจะมีการลดต้นทุนซึ่งยังคงเหลืออยู่ในสต็อกออกขายจนถึงปี 1955 ทำให้รถหายากเหล่านี้ไม่มีการบันทึกหรือสามารถยืนยันตัวตนได้
การกลับมาของ Indian Chief รุ่นใหม่ในปี 2013 พร้อมกับเครื่องยนต์ Thunder Stroke® 111 V-Twin 1,811ซีซี และด้วยดีไซน์สุดคลาสสิกได้ปลุกตำนานครุยเซอร์สมรรถนะสูงขึ้นมาพร้อมกับกับความนิยมในกลุ่มสาวกรุ่นเก๋าได้อย่างน่าประทับใจ
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... silodrome.com