Hollister Riot หรือเหตุความวุ่นวายที่เมือง Hollister ซึ่งถูกยกให้เป็นเหตุการณ์ต้นกำเนิดของเหล่าอเมริกันไบเกอร์ ซึ่งส่งผลต่อสังคมสองล้อทั่วโลกรวมถึงการใช้ชีวิตในสังคมของชาวอเมริกันในเวลาต่อมา โดยทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการรวมตัวกันในอีเว้นท์ใหญ่ประจำปีอย่าง Gypsy Tours การแข่งขันแรลลีที่จัดขึ้นโดย AMA หรือ American Motorcycle Association โดยอีเว้นท์นี้จัดขึ้นตั้งแต่ช่วงยุค 1930s ณ เมือง Hollister รัฐ California เป็นอีเว้นท์ใหญ่ประจำปีที่จัดขึ้นในเมืองเล็กๆ และมีทั้งการแข่งมอเตอร์ไซค์ กิจกรรมทางสังคมและการสังสรรค์แบบสุดเหวี่ยง แต่อีเว้นท์นี้จำต้องหยุดไปเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะกลับมาจัดอีกครั้งในปี 1947
ความนิยมอันล้นหลามที่มีต่อมอเตอร์ไซค์หลังจากที่โลกต้องเผชิญกับภัยสงครามนั้น มีสาเหตุมาจากการที่เหล่าทหารผ่านศึกชาวอเมริกันจำนวนมากที่กลับมาจากสงคราม พวกเขาต้องพบกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองทั่วไป ทำให้เขาเหล่านั้นจำต้องแสวงหาความตื่นเต้นท้าทายที่สามารถทำให้สารอะดรีนาลีนในตัวหลั่งไปทั่วร่างได้ไม่ต่างจากช่วงที่อยู่ในสมรภูมิ ซึ่งการขี่มอเตอร์ไซค์ก็คือคำตอบที่พวกเขาตามหา จากช่วงก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองก็มีนักขี่แล้วพอสมควร แต่ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนี้ทำให้มีสมาชิกในสังคมสองล้อเพิ่มมากขึ้นอีกหลายพันคนเลยทีเดียว
เริ่มต้นเหตุความวุ่นวาย
วันที่ 3 กรกฎาคม 1947 Gypsy Tours ได้เริ่มต้นขึ้น บรรดานักขี่หลายพันคนจากทั่วสหรัฐอเมริกาได้หลั่งไหลเข้ามาร่วมอีเว้นท์ประจำปีในครั้งนี้ หนึ่งในนั้นก็เป็นบรรดาคลับมอเตอร์ไซค์ชื่อดัง ณ เวลานั้นอย่าง POBOBs “Pissed Off Bastards Of Bloomington”, Boozefighters, Market Street Commandos, Top Hatters Motorcycle Club และ Galloping Goose Motorcycle Club ซึ่งเมืองเล็กๆอย่าง Hollister ที่มีประชากรกว่า 4,500 คนนั้นย่อมไม่พร้อมรองรับเหล่านักขี่ที่ยกขบวนกันมาที่เมืองพร้อมกัน แรกเริ่มนั้นเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น แต่ด้วยการฉลองและสังสรรค์กันอย่างสุดเหวี่ยง จึงเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งนี้ในเวลาไม่นานหลังจากที่ Gypsy Tours ได้เริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักขี่ที่เมาจากการดื่มอย่างบ้าคลั่ง การขี่มอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองและการใช้เมือง Hollister ทั้งเมืองเป็นสนามแข่งนอกรอบ แน่นอนว่าเมื่อมีความวุ่นวายเกิดขึ้นพร้อมกับความมึนเมาย่อมตามมาด้วยการทะเลาะวิวาท ขว้างปาขวดเบียร์จนเกิดความเสียหายให้กับบาร์ นอกจากนี้ความไม่พร้อมที่จะต้อนรับผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ก็แสดงผลออกมา เมื่อมีนักขี่มากมายต้องใช้ทางเท้า กองฟางสวน สาธารณะและสนามหญ้าหน้าบ้านของชาวเมืองเป็นที่นอน
สถานการณ์ความวุ่นวายก็ยังคงดำเนินเต่อไป และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเย็นวันที่ 4 กรกฎาคม สถานการณ์ต่างๆก็ร้ายแรงเกินกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำการอยู่ในเมือง Hollister จะควบคุมได้ กำลังเสริมกว่า 40 นายจากสถานีตำรวจทางหลวง California ถูกส่งมาช่วยระงับแหตุ แม้นักขี่ส่วนมากที่เข้ามาในเมืองแห่งนี้จะเป็นทหารผ่านศึกที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ขณะระงับเป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังต้องมีการใช้แก๊สน้ำตา และจับกุมนักขี่ที่มีอาละวาดขณะมึนเมาอยู่ดี แถมการที่บาร์งดขายเบียร์และปิดก่อนเวลาถึงสองชั่วโมงก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งความโกลาหลครั้งนี้ได้ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า “ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ไม่ต่างจากฝันร้าย แต่พวกเขา (เหล่านักขี่) ก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง นอกเสียจากดื่มกินอย่างเมามัน และขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมกับส่งเสียงโหวกเหวกไปทั่วเมือง”
เรื่องราวที่สื่อนำเสนอ
เหตุที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตระดับประเทศจากการที่มีรายงานผ่านสื่ออย่างเกินจริง โดยเรื่องราวของ Hollister Riot ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อต่างๆนั้น เริ่มต้นบทความสั้นๆสองบทความที่ตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ San Francisco Chronicle หลังจากเกิดเหตุไม่นานในชื่อ “Havoc in Hollister” และ “Hollister’s Bad Time” ที่บรรยายเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยคำว่า “ความโกลาหล” และ “การก่อการร้าย” ที่แม้ตัวบทความจะเขียนบรรยายเหตุการณ์ตามสภาพความเป็นจริงแต่การใช้คำบางคำที่เกินจริงและนำเสนอทัศนคติในแง่ลบที่มีต่อพฤติกรรมของเหล่านักขี่ก็สามารถสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนใน California ได้พอสมควร แม้จะมีการตีข่าวลงหนังสือพิมพ์แต่เรื่องราวของ Hollister Riot ก็ยังคงอยู่ใน California เท่านั้น กระทั่ง Barney Peterson ได้ตีพิมพ์บทความ Cyclist’s Holiday : He and Friends Terrorize Town ลงบนนิตยสาร Life Magazine พร้อมภาพของนักขี่รายหนึ่งที่ภายหลังสามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็น Eddie Davenport สมาชิกของกลุ่ม Tulare Riders Motorcycle Club ที่กำลังสำราญกับการดื่มอย่างเต็มพิกัดบนมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่รายล้อมไปด้วยขวดเบียร์เปล่าและขวดเบียร์แตกจำนวนมาก โดยรูปถ่ายใบนี้ถือเป็นหนึ่งในรูปภาพสำคัญของเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยัน ความสุดเหวี่ยงที่เกิดขึ้นในเมือง Hollister แม้หนึ่งในชาวเมือง Hollister อย่าง Gus Deserpa ที่ภายหลังเผยว่าเขาคือหนุ่มเครางามที่ยืนอยู่ด้านหลัง Davenport จะการออกมาพูดถึงเบื้องหลังของการถ่ายภาพนี้ว่าเป็นการจัดฉากก็ตาม
แต่เมื่อข่าวคราวเกี่ยวกับวีรกรรมของเหล่านักขี่ ณ เมืองเล็กๆอย่าง Hollister ได้กระจายออกไปทั่วประเทศ ความตื่นตระหนกและวิตกกังวลก็เริ่มเกาะกินชาวอเมริกันที่ยังคงบอบช้ำจากผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงเพิ่มความหวาดหวั่นที่มีต่อสงครามเย็นที่กำลังใกล้เข้ามา จนเกิดเป็นความหวาดกลัวต่อเหล่านักขี่ไปในที่สุด อย่างไรก็ตามทาง AMA ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธในการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ณ เมือง Hollister พร้อมระบุว่ากลุ่มคนที่สร้างปัญหา ก่อความไม่สงบทั้งขี่มอเตอร์ไซค์ป่วนไปทั่วเมืองและทะเลาะวิวาทที่ Hollister จนทำให้ภาพลักษณ์ในด้านลบของวงการสองล้อนั้น เป็นเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของเหล่านักขี่ที่ไปร่วมงานเท่านั้น ซึ่งแถลงการณ์ของ AMA นี้เองที่ทำให้เครื่องหมาย “1%” ถูกนำมาใช้นิยามเหล่าคลับสิงห์นักบิดนอกกฎหมายไปในเวลาต่อมา และคลับมอเตอร์ไซค์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นคลับเก่าแก่ หรือคลับน้องใหม่ก็ยังคงอยู่คู่กับสังคมมอเตอร์ไซค์มาจนปัจจุบันนี้ แต่ที่น่าสนใจคือกิจกรรมของเหล่า One Percenter ส่วนหนึ่งนั้นค่อยๆลดความรุนแรงลง และปรับตัวให้เข้ากับชุมชน และสภาพสังคมมากขึ้น
แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดเหล่า One Percenter แล้ว เหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใน Hollister ส่งผลกระทบต่อเมืองเล็กๆแห่งนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และความหวาดกลัวที่ชาวอเมริกันมีต่อเหล่านักขี่นั้น ก็ไม่ใช่สาเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเมืองแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะ Hollister เมืองที่มีประชากร 4 พันคนแห่งนี้ยังคงต้อนรับเหล่านักขี่และจัดแรลลี Gypsy Tour อยู่อย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปีนับจากเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
วงการบันเทิง
เรื่องสั้น Cyclist’s Raid ที่ Frank Rooney ยึดเอา Hollister Riot เป็นเนื้อเรื่องพื้นฐานได้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Harper’s Magazine ในเดือนมกราคม ปี 1951 ซึ่งต่อมาในปี 1953 เรื่องสั้นเรื่องนี้ก็ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นบทภาพยนตร์เรื่อง The Wild One โดยได้ Marlon Brando มารับบทนำในเรื่องนี้ และการนำเรื่องราวความวุ่นวายที่เมือง Hollister ซึ่งก่อนเป็นภาพลักษณ์อันน่าหวาดกลัวให้กับชาวอเมริกันมาถ่ายทอดผ่านแผ่นฟิล์มครั้งนี้ ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเหล่าไบเกอร์นอกกฎหมายและมอเตอร์ไซค์ให้ดีขึ้น รวมถึงส่งให้นักแสดงในบท “Johnny” และ “Chino” อย่าง Marlon Brando กับ Lee Marvin กลายเป็นไอคอนของเหล่านักขี่และผู้คนทั่วไปนับตั้งแต่นั้น
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... wikipedia.org
historynuggets.squarespace.com