ย้อนกลับไปในช่วงที่หมวกกันน็อกถือกำเนิดขึ้น ตัวเลือกของวัสดุในการสร้างหมวกกันน็อก ณ เวลานั้นถือว่ามีจำกัดอย่างมาก ซึ่งหมวกกันน็อกในยุคแรกๆของโลกนั้น มีหนังสัตว์เป็นวัสดุโดยวิธีการก็คือการเย็บหนังวัวหลายๆชั้นซ้อนติดกันเอาไว้ อาจจะฟังดูเหมือนไม่ปลอดภัยแต่ก็สามารถช่วยชีวิตเหล่านักแข่ง Board Track เอาได้มากมาย กระทั่งในปี 1935 เหตุสลดที่เกิดขึ้นกับนายทหารหนุ่มวีรบุรุษสงครามอย่าง T.E. Lawrence หรือ Lawrence of Arabia ที่เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุขณะขี่ Brough Superior SS100 จนนำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีหมวกกันน็อกให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น และหมวกกันน็อกที่เรียกกันว่า “Crash Helmet” ก็ได้ถูกพัฒนาจนสำเร็จในเวลาไม่นาน
แต่ในช่วงแรกนั้น Crash Helmet นี้ยังสามารถป้องกันได้เพียงการเกิดบาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถปกป้องผู้ใช้งานจากการบาดเจ็บภายในได้ ต่อมา Herman Roth เป็นผู้จดสิทธิบัตรหมวกกันน็อกที่มีชั้นดูดซับแรงกระแทกอยู่ภายในเปลือกหมวกชั้นนอกที่แข็งแกร่งททนทาน ซึ่งชีลด์หมวกและสายรัดคางก็เป็นผลงานการออกแบบที่สร้างสรรค์ขึ้นในช่วงยุค 1950 ทั้งสิ้น ถือเป็นต้นกำเนิดของหมวกกันน็อกยุคโมเดิร์นที่เหล่านักขี่สวมใส่ในอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็ไม่ผิดนัก
ปี 1956 มาตรฐานความปลอดภัยของหมวกกันน็อกได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างชัดเจนที่สุด เมื่อนักแข่งรถยนต์ Pete Snell เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่ง ณ เวลานั้นเขาได้สวมหมวกกันน็อกที่คล้ายกับหมวกกันน็อกแบบของ Herman Roth เอาไว้ด้วย ซึ่งเพื่อนและครอบครัวของ Pete ได้ก่อตั้งองค์กร Snell Memorial Foundation ขึ้นโดยรวมเอานักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และเหล่าผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันค้นคว้าและวิจัยถึงผลกระทบต่างๆจนเกิดเป็นมาตรฐานที่ใช้ทดสอบความปลอดภัยของหมวกกันน็อกขึ้นในที่สุด
สติ๊กเกอร์สัญลักษณ์คืออะไร
หากลองใช้เวลาสังเกตที่ด้านหลังของหมวกกันน็อกจะเห็นสติ๊กเกอร์ระบุมาตรฐานเอาไว้ ซึ่งเจ้าสติ๊กเกอร์นี้ก็จะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันอยู่ โดยมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมีดังต่อไปนี้
DOT : มาตรฐานที่รับรองโดย Department of Transportation ที่ถูกยกให้เป็นระดับพื้นฐานที่อย่างน้อยๆหมวกกันน็อกทุกแบรนด์จะต้องได้รับการรับรอง DOT จึงจะได้ชื่อว่าเป็นหมวกกันน็อกที่มีมาตรฐาน โดยไม่นานมานี้มาตรฐาน DOT ยังครอบคลุมถึงมาตรฐานกลาง FMVSS 218 อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าหมวกกันน็อกที่ติดสติ๊กเกอร์ DOT เอาไว้ก็จะถือว่าผ่านมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกันด้วยเช่นกัน
ECE : มาตรฐานที่รับรองโดย Economic Commission for Europe ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานที่ใช้กันมากกว่า 50 ประเทศในทวีปยุโรป หมายความว่าหมวกกันน็อกที่ติดสติ๊กเกอร์ ECE นี้จะผ่านมาตรฐาน ECE 22.05
SNELL : มาตรฐานที่รับรองโดย Snell Memorial Foundation ซึ่งมาตรฐานของ SNELL นั้นจะโฟกัสไปที่ความปลอดภัยสำหรับใช้ในการแข่งขันมากกว่ามาตรฐานอื่นๆอยู่เล็กน้อย โดยมาตรฐานสำหรับหมวกกันน็อกที่ใช้กันในชีวิตประจำวันจะได้รับสติ๊กเกอร์ SNELL M2015 ส่วน SNELL SA2015 จะเป็นสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนหมวกกันน็อกสำหรับการแข่งขัน
ทั้งนี้หมวกกันน็อกที่ใช้งานกันในชีวิตประจำวันนั้นจะสามารถเชื่อถือได้อย่างสนิทใจนั้นควรจะผ่านมาตรฐานดังกล่าวอย่างน้อยหนึ่งมาตรฐาน และล่าสุดได้มีมาตรฐานความปลอดภัยล่าสุดที่ใช้กันในทวีปยุโรป ซึ่งเข้ามาสู่ตลาดหมวกกันน็อกได้ระยะหนึ่งแล้วนั้นคือมาตรฐานของ SHARP ที่จะให้คะแนนออกมาเป็นจำนวนดาวแทนการมอบสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแรงกระทำจะถูกส่งผ่านมายังศีรษะซึ่งการทดสอบมาตรฐานเบื้องต้นของหมวกกันน็อกนั้นจะใช้วัตถุที่เรียกว่า “Headform” ที่มีเซ็นเซอร์เล็กๆอยู่ภายในสำหรับวัดค่าแรงกระทำเป็นตัวจำลองศีรษะมนุษย์ที่สวมหมวกกันน็อกเอาไว้ โดยการทดสอบ impact test นั้นจะเป็นการปล่อยให้หมวกที่มี headform อยู่ภายในตกลงมากระแทกกับทั่งเหล็กหลายแบบหลายรูปทรง ด้วยความสูงในระดับต่างๆ โดยที่เจ้า headform นี้จะทำหน้าที่บันทึกค่าแรงกระทำในแต่ละระดับเอาไว้ ซึ่งค่าที่บันทึกได้นี้จะใช้เป็นตัวประกอบการพิจารณาว่าหมวกกันน็อกใบนั้นๆสามารถจัดการกับแรงกระทำได้ดีรวมถึงปกป้องศีรษะได้มาน้อยแค่ไหน ส่วนสาเหตุที่การทดสอบมาตรฐานหมวกกันน็อกไม่เลือกใช้ “crash test dummies” ก็เพราะมีความแตกต่างกันกับการทดสอบอุบัติเหตุในอุสาหกรรมยานยนต์นั่นเอง และอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงนั้นมีความซับซ้อนกว่ามากนั่นเอง อีกทั้งการทดสอบหมวกกันน็อกนั้นออกแบบมาสำหรับวิเคราะห์การจัดการแรงกระทำของหมวกแล้ววัดค่าเป็นระดับความปลอดภัยที่หมวกกันน็อกมี โดยจะใช้การกระแทกที่จุดเดิมสองครั้งเพื่อทดสอบความยืดหยุ่นทนทานของวัสดุไปในเวลาพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีการทดสอบอื่นๆเช่น penetration resistance การทดสอบวิสัยทัศน์ผ่านช่องหมวกและชีลด์หมวก ความแน่นหนาของสายรัดคาง รวมถึงความสะดวกในการถอดหมวกกันน็อกในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินอีกด้วย
ทีนี้มาดูกันให้ละเอียดขึ้นอีกสักนิดดีกว่าว่ามาตรฐานความปลอดภัยของแต่ละแห่งจะมีรูปแบบและขั้นตอนเฉพาะของตัวเองอย่างไร และก่อนที่หมวกกันน็อกแต่ละแบรนด์จะได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของแต่ละแห่งนั้นต้องผ่านการทดอะไร อย่างไรกันบ้าง
DOT FMVSS 218
แม้จะถูกยกให้เป็นมาตรฐานความปลอดภัยพื้นฐาน แต่ขั้นตอนการทดสอบของ DOT นั้นมีความละเอียดถี่ถ้วยและครอบคลุมอย่างมาก ซึ่งหมวกกันน็อกที่จะได้รับการรับรองมาตรฐานของ DOT จะต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวดทั้งความยืดหยุ่นทนทานของวัสดุ ด้วยแรงกระทำสูงสุด 400 จี ขอบเขตการมองเห็นขณะสวมหมวก penetration resistance และแม้แต่การติดฉลาก โดยจะมีการสุ่มทดสอบเพื่อหาหมวกใบที่ไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือการสุ่มตรวจสารกระตุ้นในหมู่นักกีฬาอาชีพ ซึ่งเป็นแนวคิดให้ผู้ผลิตเกิดความซื่อสัตย์ต่อลูกค้านั่นเอง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งข้อเสียของมาตรฐาน DOT ที่เว้นช่องว่างแห่งความซื่อสัตย์ที่ควรมีต่อลูกค้าเอาไว้ให้บางแบรนด์ลักไก่ผลิตหมวกกันน็อกที่ไม่ได้มาตรฐานออกขายภายใต้สติ๊กเกอร์ของ DOT ส่วนอีกข้อเสียหนึ่งคือการที่ไม่ได้ทดสอบในส่งนของวิสัยทัศน์ที่มองผ่านชีลด์หมวก
ECE 22.05
มาตรฐาน ECE 22.05 ค่อนข้างทันสมัยกว่าแต่เข้มงวดน้อยกว่ามาตรฐาน DOT อยู่พอสมควร ซึ่งหมวกกันน็อกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานของ ECE นั้นจะต้องผ่านการทดสอบเฉพาะเสียก่อนในแล็บที่ไม่เปิดเผยรายละเอียดการทดสอบ ส่วนสาเหตุที่บอกว่ามีความเข้มงวดน้อยกว่ามาตรฐาน DOT ก็เพราะความเร็วเฉลี่ยการเกิดอุบัติเหตุในทวีปยุโรปนั้นต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งการทดสอบ impact test ในมาตรฐาน ECE นั้นจะใช้ทั่งเหล็กที่เรียกว่า curbstone มาใช้งาน โดย curbstone จะสร้างแรงกระแทกได้น้อยกว่า hemi anvil ที่ใช้ทดสอบ impact test ในมาตรฐาน DOT และ SNELL นอกจากนี้การทดสอบ impact test ในมาตรฐาน ECE ยังทดสอบเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งต่างจากมาตรฐาน DOT และ SNELL ที่ปล่อยให้วิศวกรทำการทดสอบหมวกกันน็อกในความสูงและตำแหน่งตกกระทบที่หลากหลาย แต่การทกสอบ impact test ในมาตรฐาน ECE นั้นจะเน้นไปที่ตำแหน่งที่เกิดการกระแทกในอุบัติเหตุในชีวิตจริงมากที่สุดซึ่งเป็นการยำให้ผู้ผลิตหมวกกันน็อกโฟกัสไปยังการป้องกันในจุดสำคัญนี้เป็นพิเศษ
SNELL M2015
มาตรฐานความปลอดภัย SNELL ถูกยกให้เป็นมาตรฐานระดับ Gold Standard โดยการทดสอบ impact test ในมาตรฐาน SNELL M2015 นั้นจะใช้ทั่งเหล็กที่แข็งที่สุดที่เรียกว่า edge anvil ในการทดสอบ จึงมีการทดสอบด้วยแรงกระทำที่ 275 g ซึ่งการทดสอบมาตรฐาน SNELL นั้นถูกออกแบบมาสำหรับรับรองมาตรฐานอุปกรณ์ป้องกันที่ใช้ในการการแข่ง โดยจะมีสิ่งที่ทำให้มาตรฐาน SNELL แตกต่างจากมาตรฐานอื่นๆคือ ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจหาจุดอ่อนของหมวกกันน็อกก่อนจะทำการทดสอบโดยเน้นไปที่จุดอ่านที่นั้นๆ รวมถึงการทดสอบ impact test ที่จุดอื่นๆรอบๆหมวกกันน็อกอีกหลายครั้งจนกว่าจะมั่นใจแล้วว่าทราบผลการทดสอบอย่างชัดเจนและแม่นยำ ไม่เพียงแค่ทดสอบคุณภาพของเปลือกหมวกเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญของ SNELL ยังทำการทดสอบคุณภาพคำวามปลอดภัยในส่วนประกอบภายในหมวกกันน็อกด้วยเช่นกัน
SHARP
มาตรฐานความปลอดภัยที่ถือว่าเป็นน้องใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับตลาดหมวกกันน็อกทวีปยุโรปโดยเฉพาะ และเป็นมาตรฐานความปลอดภัยรายแรกซึ่งก้าวข้ามการวัดคุณภาพโดยที่ต้องระบุว่า “ผ่าน/ไม่ผ่าน” ด้วยการทดสอบ impact test ในหลายจุดรวมถึงวัดค่าแรงกระทำที่แตกต่างกัน ก่อนจะรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ก่อนจะมอบสัญลักษณ์ดาวให้กับหมวกกันน็อกที่ใช้ทดสอบ โดยมาตรฐาน SHARP ยังเป็นมาตรฐานความปลอดภัยเดียวที่เป็นตัวรับประกันความสามารถในการจัดการกับแรกกระทำจากอุบัติเหตุ ขณะที่ทั้งมาตรฐานอื่นๆนั้นจะมุ่งเน้นไปที่การรับประรองมาตรฐานความปลอดภัยของหมวกกันน็อก
นอกจากนี้มาตรฐาน SHARP ยังถูกยกให้เป็นมาตรฐานที่ต่อยอดมาจาก ECE 22.05 เนื่องจากมาตรฐาน SHARP นั้นจะนำหมวกกันน็อกที่ผ่านมาตรฐาน ECE 22.05 มาทดสอบ impact test นั่นเอง สาเหตุของการนำหมวกกันน็อกที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยแล้วมาทดสอบนั้นไม่ใช่เพื่อการกำหนดว่าหมวกกันน็อกได้มาตรฐานความปลอดภัยที่ครอบคลุมหรือไม่ แต่เพื่อเป็นการยืนยันและส่งต่อข้อมูลให้นักขี่ชาวยุโรปได้เข้าใจถึงคุณภาพและมาตรฐานของ ECE นั่นเอง
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... revzilla.com