หากจะพูดถึงช่วงเวลาที่โลกได้รู้จักกับยานพาหนะที่เรียกว่ามอเตอร์ไซค์ มีน้อยคนนักที่จะเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจว่ามอเตอร์ไซค์จะกลายมาเป็นยานพาหนะที่เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน และแน่นอนว่าหลายๆคนคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ปั่นจักรยานเป็นใช่มั้ย ขี่มอเตอร์ไซค์ก็เหมือนกันนั่นแหละน่า ไม่ยากหรอก” กันมาบ้างจากที่ไหนสักแห่ง อาจจะในภาพยนตร์ ในซีรีส์โทรทัศน์ หรือแม้แต่ในชีวิตจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าคำที่บอกว่า “ขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนกับปั่นจักรยาน” จะถูกต้องตามนี้ทั้งหมด
ความแตกต่าง
โดยหลักการแล้วการขี่มอเตอร์ไซค์กับปั่นจักรยานนั้นมีสิ่งที่ใกล้เคียงกันอยู่ แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างที่สัมผัสได้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งการขี่มอเตอร์ไซค์นักขี่จะต้องมีสมาธิใส่ใจรายละเอียดรอบตัวรวมถึงหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ร่างกายจะกระทำไปอัตโนมัติขณะที่ปั่นจักรยาน ซึ่งมอเตอร์ไซค์จะมีน้ำหนักมากกว่าจักรยาน ซึ่งการบังคับรถที่หนักๆให้เลี้ยวได้ นักขี่จะต้องใช้หัวไหล่และการเอียงตัวเพื่อรักษาสมดุลโดยที่จะต้องไม่หักแฮนด์รถรวมถึงเอียงตัวมากเกินไป
สลับไปการปั่นจักรยาน หากสังเกตเวลาเข้าโค้งร่างกายของคนเราจะสั่งให้แขนขยับแฮนเดิลบาร์แทนการใช้หัวไหล่และเอียงตัวในการบังคับเลี้ยว ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากน้ำหนักของรถที่เป็นปัจจัยให้ร่างกายตอบสนองจนแสดงพฤติกรรมตามที่ยกตัวอย่างไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเร็วที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อย่างที่ทราบกันดีมอเตอร์ไซค์นั้นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และจะทำความเร็วได้เท่าไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับความจุของกระบอกสูบ ส่วนจักรยานนั้นจะอาศัยแรงที่เกิดจากกำลังขาล้วนๆ แม้ว่าจะเป็นนักปั่นที่มีกำลังขามหาศาลขนาดไหนก็ยังเทียบความเร็วได้เพียงแค่มอเตอร์ไซค์ความจุเครื่องยนต์น้อยๆเท่านั้น
ซึ่งในส่วนที่มอเตอร์ไซค์คล้ายกับจักรยานก็คือเบรก ซึ่งทักษะการเบรกที่ใช้กับมอเตอร์ไซค์นั้นก็มีพื้นฐานมาจากการเบรกของจักรยาน หรือก็คือการใช้เบรกที่ล้อหน้าอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ และอีก 30 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นการใช้เบรกที่ล้อหลัง เนื่องจากการเบรกแต่ละครั้งล้อหน้าจะรับน้ำหนักและแรงกระทำมากกว่าล้อหลังนั่นเอง
ขี่มอเตอร์ไซค์ให้ถูกวิธี
สำหรับคนที่ยังคิดว่าขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักก็ให้ลองนึกย้อนกลับไปตอนหัดปั่นจักรยานสมัยที่ยังเป็นเด็กดูสักนิด ว่ามันเป็นเรื่องยากเย็นสักแค่ไหน กว่าจะปั่นได้คล่องอย่างทุกวันนี้ ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานขนาดไหน และอีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะหลงลืมไปก็คือมอเตอร์ไซค์ไม่มีอุปกรณ์ที่จะช่วยลดความเสียหายอย่างเข็มขัดนิรภัยหรือถุงลมนิรภัยติดตั้งเอาไว้ที่ตัวรถ ทำให้นักขี่หลายๆคนใช้ความเร็วสูงจนเกินไปและเกิดอุบัติเหตุไปในที่สุด ซึ่งการหลีกเลี่ยงและลดอุบัติเหตุนั้นต้องเริ่มที่ตัวนักขี่เป็นอันดับแรก
ฝึกทักษะการขี่ หากเป็นไปได้ให้ลองเข้าร่วมโปรแกรมฝึกทักษะกับผู้ฝึกสอน เพื่อเรียนรู้วิธีการขี่หรือการเบรกที่ถูกวิธี ซึ่งโปรแกรมฝึกทักษะเหล่านี้จะช่วยให้นักขี่สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างถูกวิธี
เพิ่มความระมัดระวังขณะขับขี่ จงตระหนักเอาไว้เสมอว่าบนท้องถนนอะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวนักขี่คนเดียว เพราะเพื่อนร่วมทางพร้อมที่จะทำอะไรที่ตัวนักขี่ไม่คาดคิดได้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ควรคิดมากเสียจนเกิดความเครียดขณะขับขี่ ซึ่งมอเตอร์ไซค์เองแม้จะเป็นรถความจุเครื่องยนต์สูงๆก็ยังถือว่าเป็นยานพาหนะที่มีขนาดเล็กที่สุดบนท้องถนนอยู่ดี ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงการขี่เข้าไปในมุมอับสายตาของรถคันอื่นๆ และเตรียมช่องทางที่พร้อมจะพาตัวเองออกจากสถานการณ์เลวร้ายได้เสมอ
ลงทุนกับหมวกกันน็อกและอุปกรณ์ป้องกัน หมวกกันน็อกถูกออกแบบมาเพื่อทนทานต่อแรงกระแทกในแนวดิ่งที่ความสูงประมาณ 4 – 5 ฟุต ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยลดแรงกระทบกระเทือนต่อศีรษะและสมอง ส่วนอุปกรณ์ป้องกันที่สวมใส่ก็เปรียบได้กับหมวกกันน็อกของร่างกายส่วนต่างๆ ดังนั้นการยอมจ่ายแพงขึ้นอีกสักนิดเพื่อให้ได้หมวกกันน็อกและอุปกรณ์ป้องกันที่มีมาตรฐานน่าเชื่อถือได้มาช่วยป้องกันศีรษะของนักขี่เองคือว่าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไปอย่างแน่นอน
หลีกเลี่ยงการขี่ในสภาพอากาศไม่ดี อีกหนึ่งสถานการณ์สำคัญที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะสภาพอากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการขี่ท่ามกลางสายฝน ซึ่งหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ควรเร่งความเร็งมากจนเกินไป และต้องเปลี่ยนวิธีการใช้เบรก ซึ่งในสภาวะที่พิ้นถนนเปียกลื่นควรเบรกอย่างนุ่มนวลกว่าการขี่ในสภาพอากาศปกติ
กล่าวคือ การขี่มอเตอร์ไซค์นั้นไม่เชิงว่าเหมือนกับการปั่นจักรยานเสียทีเดียว พูดง่ายๆคือการขี่มอเตอร์ไซค์ต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ในการบังคับรถ รวมถึงการลงทุนกับอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยของตัวผู้ใช้งานมากกว่านั่นเอง
------
เรียบเรียงโดย HD-Playground
ที่มา... bookmotorcycletours.com