A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
 
[Interview & Review]
 
VRSCD Night Rod 2006
By HDP PR
DATE: 2011.02.28
VIEW: 2130
POST: 0

 

 
 

VRSCD Night Rod 2006
จากการผสมผสานระหว่าง Street Rod และ V-rod ก่อให้เกิดรถรุ่นใหม่ สมรรถนะสูงในตระกูล VRSC นั้นคือ Night Rod จากคอลัมน์ใน Motorcycle Cruiser Magazine ในเดือนตุลาคม 2005 ดูได้ที่นี่


รถ Honda VTX1800C สีดำขนาดมหึมาจอดเทียบข้างทางด้านขวาของ Harley ที่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง เจ้าของ Honda เบิ้ลเครื่องยนต์สองสามรอบ เมื่อเสียงคำรามของท่อไอเสียจางลง เขาจึงหันมามองเจ้า Harley สีแดงตัดดำ สะท้อนแสงจากไฟถนนจากส่วนประกอบที่เป็นโครเมี่ยม มองเห็นถึงรอยย่นบนหน้าผากแสดงถึงความสงสัย พร้อมกับหันดูด้านขวาของเข้า Harley ที่จอดติดไฟแดงอยู่ด้วยกัน

“คันนี้คือ Street Rod ใช่หรือเปล่า?” เจ้าของ Honda ตะโกนถาม
คนของเราสั่นหัวเป็นการให้คำตอบว่า ไม่ใช่
“แล้วมันคืออะไร ไม่ใช่ V-Rod หรอกหรือ”

โชคดีที่ไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียวซะก่อนที่เราจะต้องคิดหาคำตอบให้กับคนขี่ Honda เนื่องจากเราได้ให้คำสัญญาว่าจะปกปิดรถรุ่นใหม่นี้เป็นความลับก่อนที่ดีลเลอร์รถ Harley ทั้งหลายจะได้เห็นเจ้า Night Rod คันนี้ในอีกสองสามอาทิตย์ถัดไป และเจ้าของค่ายรถทั้งหลายก็ต้องการที่จะให้ความสำคัญต่อดีลเลอร์ของเขาให้รู้เป็นอันดับต้นๆซะด้วยสิ

 

ความสงสัยของคนขี่ Honda เป็นอะไรที่พอจะเข้าใจได้ เนื่องมาจากเจ้า VRSCD รุ่นนี้เป็นส่วนผสมระหว่าง V-Rod ต้นตระกูลเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำขนาด 1130 ซีซี Twin Overhead Cam Shaft แบบสูบวี 60 องศา กับรุ่นใหม่อย่างเจ้า Street Rod ที่นำเข้าจุดเด่นของทั้งสองรุ่นมารวมกันพร้อมกับใส่ลูกเล่นใหม่ๆบางอย่างที่นักขี่ทั่วไปอยากได้เข้าไปเพิ่มเติม ทำให้เกิดเจ้า Night Rod ขึ้นมา ซึ่งในระหว่างที่ยังต้องปิดเป็นความลับ เราใข้ชื่อเรียกเจ้ารถคันนี้ว่า Nightstick ในเวลาที่เราต้องพูดคุยถึงมันในที่ๆมีคนอื่นฟังอยู่ด้วย

สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับตระกูล VRSC ลองมาดูบทสรุปสั้นๆกันซักหน่อย รุ่นแรกที่เกิดขึ้นตระกูลนี้คือ VRSCA V-Rod เริ่มต้นในปี 2001 ด้วยเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาร่วมกับ Porsche ขนาด 1130 ซีซี ที่รีดแรงม้าออกมาได้ถึง 110 แรงม้า รูปทรงตัวรถแบบครุยเซอร์แท้ๆ เบาะนั่งต่ำ เท้าเหยียดออกไปด้านหน้าด้วยพักเท้าแบบ Forward Control ล้อแม๊กตันแบบจานดิสซ์เกลี้ยงไม่มีการตกแต่งลวดลายใดๆ น้ำหนักตัวค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับรถครุยเซอร์รุ่นอื่นๆ ทำให้การตอบสนองอัตราเร่งทำได้ดี ซึ่งเทียบกับรถครุยเซอร์เครื่องยนต์วีทวินขนาดใหญ่ได้อย่างสบายๆ จะมีก็แต่ Yamaha V-Max เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงเท่านั้น ที่เจ้า V-Rod กินไม่ลง ส่วนข้อด้อยของเจ้า V-Rod คงจะเป็นเรื่องของตำแหน่งเบาะนั่งที่อยู่ต่ำ กับพักเท้าที่เหยียดไปอยู่ด้านหน้า อาจจะทำให้เกิดอาการเมื่อยสำหรับนักขี่หลายๆ คน

 

ในรุ่นถัดมาของตระกูลนี้ได้ถูกตกแต่งภายนอกเพิ่มเติมนั่นคือ VRSCB หรือ V-Rod Model B ที่แทบจะไม่ค่อยแตกต่างกันกับ VRSCA เท่าไรนัก อย่างการเปลี่ยนสีเฟรมจากสีเงินมาเป็นสีดำ หรือเปลี่ยนไฟหน้าให้แตกต่างนิดหน่อย แต่พอมาถึงสมาชิกลำดับที่ 3 อย่าง VRSCR Street Rod ทำให้ Harley ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจาก V-Rod โดยเริ่มนำออกสู่ตลาดในปี 2006 ด้วยการออกแบบเฟรมใหม่ พร้อมแผงคอที่เบนน้อยกว่า V-Rod ระยะโช๊คที่มีช่วงยุบที่มากขึ้น ตำแหน่งเบาะนั่งที่สูงขึ้น เพิ่มพื้นที่ของถังน้ำมันใต้เบาะ แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าของรถ V-Rod อิจฉาคือรูปแบบท่อไอเสียใหม่ ที่ทำให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันดีขึ้น เพิ่มแรงม้า และให้เสียงท่อที่พอจะได้ยินขึ้นมาบ้าง รูปแบบทั้งหมดพอที่จะบอกได้ว่า Street Rod ถูกออกแบบมาจากดีไซน์เนอร์คนเดียวกับที่ออกแบบ V-Rod แต่ด้วยรูปร่างที่กระชับและดุดันกว่า ทำให้ Harley เรียก Street Rod ว่าอยู่ในกลุ่มของ Roadster แทนที่จะเป็น Cruiser เหมือนเดิม

เจ้าตระกูล Rod ทั้งหลายค่อนข้างที่จะทำตลาดได้ดีกับกลุ่มที่จะทดลองใช้ Harley เป็นครั้งแรกและกลุ่มตลาดยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทีมงานของ VRSC เริ่มหันมามองสินค้าที่เค้ามีอยู่ในมือและตั้งคำถามว่า “ทำไมเราไม่ลองเอาเครื่องแรงๆมาใส่ในรถทรงครุยเซอร์ดูบ้างหล่ะ” นี่คือที่มาของสมาชิกใหม่อย่าง Night Rod

 

หัวใจของเจ้า Night Rod คือเครื่องยนต์ขนาด 120 แรงม้าของ Street Rod ที่ถูกยกมาใส่ในเฟรม V-Rod พร้อมด้วยระบบท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ที่ถูกใช้ใน Street Rod ซึ่ง Night Rod นั้นให้อารมณ์การขี่เหมือนกับรถ 2 รุ่นในคันเดียว เนื่องมาจากระบบพักเท้าที่มีมาให้ถึง 2 แบบ สำหรับบางคนที่อยากขี่ในท่าเปลือกหอยที่ขาเหยียดไปอยู่ด้านหน้าแบบ Forward หรือขี่แบบสบายๆในชุดพักเท้ากลางตัวรถที่มีแป้นเบรคและคันเกียร์ติดตั้งอยู่

สำหรับองศาแผงคอและเฟรมของ Night Rod จะอยู่ระหว่าง V-Rod และ Street Rod ซึ่งองศาของกระโหลกเฟรมจะใช้ค่าเดียวกับ V-Rod คือ 34 องศา แต่องศาของแผงคอจะลดลงจาก 38 องศา มาเป็น 36 องศา ส่วน Street Rod จะมีองศากระโหลกเฟรมอยู่ที่ 30 องศา และแผงคออยู่ที่ 32 องศา สำหรับระยะฐานล้อที่ 66.9 นิ้ว จะยาวกว่า Street Rod อยู่เกือบนิ้ว แต่สั้นว่า V-Rod อยู่ 0.6 นิ้ว ส่วนระยะ Trail ของ Night Rod จะยาวที่สุดในตระกูลที่ 4.6 นิ้ว เมื่อเทียบกับ 3.9 นิ้วของ V-Rod และ 4.3 นิ้วของ Street Rod ส่วนระยะความสูงเบาะเท่ากับ V-Rod ที่ 27.1 นิ้ว และเตี้ยกว่า Street Rod เกือบ 3 นิ้ว เนื่องมาจากว่าระยะยุบของโช๊คขนาด 4 นิ้ว และถังน้ำมันขนาด 3.7 แกลลอน เท่ากับ V-Rod

 

ถึงแม้ว่ารถทั้ง 3 รุ่นจะใช้ยางและล้อในขนาดเท่ากัน แต่เลือกใช้แบบของล้อที่แตกต่างกัน Night Rod จะเป็นล้อแม๊กจานดิสท์เจาะช่อง ส่วน V-Rod จะเป็นจานดิสท์ทึบทั้งใบ สำหรับ Street Rod จะเป็นล้อแม๊กแบบ 10 ก้าน รูปแบบโดยรวมทั้งหมดของ Night Rod จะดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แฟริ่งหน้าขนาดเล็กสไตล์รถแดร็กที่สดใหม่ไม่เคยใช้มาก่อน แต่ก็ยังมีหลายๆส่วนที่นำเอามาจาก V-Rod Model B อย่างแฮนด์สเตนเลส เสื้อสูบสีดำ เฟรมสีดำ ปัดเงาที่ตัวครีบเสื้อสูบ พร้อมเรือนไมล์คู่ LCD และนาฬิกาบอกเวลา ส่วนประกอบหลายๆอย่างยังเป็นเอกลักษณ์สำหรับตระกูล VRSC อย่าง ถังน้ำมันอลูมิเนียมใต้เบาะ ของหม้อน้ำชุบโครเมี่ยม หรือบังโคลนหลังที่ซ่อนขาจับบังโคลนไว้ด้านใน

ถึงแม้จะยังไม่ใช่จุดที่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่เบาะนั่งแบบสองตอนของ Night Rod ก็ยังให้ความรู้สึกสบายสำหรับคนนั่งซ้อนมากกว่า V-Rod เพราะตัวเบาะไม่ได้เทไปด้านหลัง แต่ก็ยังคงเล็กเกินไปสำหรับการนั่งซ้อนระยะทางไกลๆ ทำให้ Harley เตรียมแผนการรับมือเอาไว้โดยสร้างเบาะแต่งมาให้เลือกใช้อย่างมากมาย สำหรับคนขี่แล้ว ระยะทางซัก 1 ถัง (ประมาณ 125 ไมล์) หรือ 2 ถัง คงจะพอไหวสำหรับท่านั่งของเบาะติดรถ แต่ถ้าจะเดินทางไกลมากกว่านี้ คงจะต้องมองหาทางเลือกอื่นอย่างเบาะรุ่น Sundowner ที่ราคา 289 เหรียญ มาช่วยให้ขี่สบายยิ่งขึ้น

 

นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ท่าทางการขี่ทางไกลสามารถนั่งขี่ได้สบายขึ้นคือ ชุดพักเท้า (มีมาให้ถึง 3 จุด ถ้านับรวมไปถึงพักเท้าของคนซ้อน) ที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งขาเพื่อลดแรงกดเฉพาะจุดได้มากขึ้น แค่จำไว้อย่างว่า พักเท้าชุดกลาง เป็นชุดที่มีก้านเบรคติดตั้งไว้ เผื่อต้องการที่เบรคให้แบบฉับพลัน ก็ควรที่จะใช้พักเท้าชุดนี้ ซึ่งเหมาะสำหรับความยาวขาเฉลี่ยของทุกคน และพักเท้าชุดกลางก็น่าจะเป็นพักเท้าที่ให้ความสบายและทำให้ควบคุมรถได้ง่ายที่สุดอีกด้วย

สำหรับระยะยุบที่ให้มามากกว่ารถในแบบครุยเซอร์ทั่วไป ทำให้เจ้า Night Rod สามารถลุยในสภาพถนนที่ขรุขระได้ดีกว่ารถครุยเซอร์รุ่นอื่นๆ ระบบกันสะเทือนอยู่ในระดับที่พอรับได้ ถึงแม้ว่าจะต้องแบกน้ำหนักตัวถึง 626 ปอนด์ในเวลาที่มีน้ำมันเต็มถัง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเบาและตอบสนองได้ดีเมื่อได้ขับขี่เปรียบเทียบกับรุ่นอื่น โดยเฉพาะเรื่องของอัตราเร่งที่ให้มาอย่างเหลือเฟือเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว

 

Night Rod ยังมีข้อได้เปรียบรถครุยเซอร์รุ่นอื่นๆอีกหลายอย่าง รวมไปถึงรุ่นพี่อย่างเจ้า V-Rod ในสภาพถนนที่ไม่ค่อยจะดีนัก ด้วยพละกำลังที่มากกว่า, การาตอบสนองที่ฉับไวของรอบเครื่อง การควบคุมรถที่ง่ายและ มีความเสถียรในตัวรถสูง คุณสามารถเทโค้งได้มากกว่ารถครุยเซอร์รุ่นอื่นๆ ก่อนที่จะมีส่วนใดของรถครูดเข้ากับถนน สำหรับระบบเบรคแล้ว Night Rod ใช้ระบบเบรคแบบเดียวกับ Street Rod นั้นคือ Brembo ที่เริ่มต้นใช้ตั้งแต่ปี 2006 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถในตระกูล VRSC ด้วยจานเบรคขนาด 11.8 นิ้ว กับคาลิปเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ แบบคู่สำหรับล้อหน้า ซึ่งข้อดีของเบรค Brembo ถ้าคนที่เคยใช้จะรู้ว่า เบรครุ่นนี้จะใช้แรงบีบก้านเบรคน้อยกว่า ระยะบีบน้อยกว่า แต่ให้พลังในการเบรคที่มากกว่า เมื่อเทียบกับระบบเบรครุ่นเก่าของ Harley แล้ว แทบจะลืมของเดิมไปเลยทีเดียว แต่ยังมีข้อที่หวังไว้เพิ่มเติมว่าอยากให้ Harley เพิ่มกลไกในการปรับระยะมือเบรคเพื่อที่จะได้ปรับระยะให้เหมาะสมกับขนาดอุ้งมือของแต่ละคน

ในช่วงเวลาที่รถครุยเซอร์ในแบบเครื่องยนต์ V-Twin กำลังแข่งกันในเรื่องของขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น และน้ำหนักรถที่มากขึ้น เจ้าตระกูล Rod ทั้งหลายที่ใช้เครื่องยนต์ที่ให้รอบสูง (เมื่อเทียบกับรถครุยเซอร์อื่นๆ) แบบ DOHC สูบวี 60 องศา 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ เผยให้เห็นถึงสมรรถนะอันโดดเด่นของเครื่องยนต์เมื่อสามารถเพิ่มแรงม้าได้จากการออกแบบระบบท่อไอเสียแบบใหม่จากโรงงาน ทำให้คู่แข่งหลายรายต้องจับตามอง

 

ถ้าคุณอยากจะเล่นรอบเครื่อง (เรดไลน์อยู่ที่ 9000 รอบ) พร้อมปล่อยคลัชท์เพื่อกระชากออกตัวแล้วหล่ะก็ เจ้า Night Rod จะทิ้งฝุ่นให้รถครุยเซอร์คันอื่นๆแน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ให้แรงบิดที่สูงในรอบต่ำเหมือนกับรถ V-Twin เครื่องยนต์ขนาดใหญ่รุ่นอื่นๆ แต่เจ้า Night Rod จะออกตัวได้ลื่นและฉุดตัวมันเองได้ดีในรอบเครื่องตั้งแต่ 2000 รอบขึ้นไป และในขณะที่วิ่งอยู่ในความเร็วเฉลี่ยบนทางหลวง มันไม่จำเป็นต้องตบเกียร์ลงเพื่อเร่งแซง นั้นหมายความว่า Night Rod ให้ช่วงอัตราเร่งที่กว้างกว่ารถที่ให้กำลังในรอบเครื่องต่ำ เหมือนๆกันกับ Street Rod ที่จะเกิดอาการกระตุกนิดหน่อยในรอบต่ำเวลาเครื่องเย็น แต่หลังจากวอร์มเครื่องแล้วและรอบเครื่องยนต์ได้ที่ เจ้า Rod ทั้งคู่จะทยานออกตัวได้อย่างรุนแรงจนรถครุยเซอร์ตัวอื่นๆต้องมองตาม

สำหรับเจ้า V-Rod ในรุ่นแรกๆอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการเข้าเกียร์ แต่นั้นกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เจ้า Night Rod เข้าเกียร์ได้อย่างราบรื่น และสามารถหาเกียร์ว่างได้อย่างง่ายได้ตามต้องการ แต่ก้านคลัชท์ยังค่อนข้างแข็งและต้องใช้แรงในการบีบมากกว่ารถครุยเซอร์ขนาดใหญ่อื่นๆ แต่มันก็ให้แรงจับและถ่ายทอดกำลังได้เป็นอย่างดี

 
 

ถึงแม้ว่าเจ้า Night Rod จะไม่ใช่รถรุ่นสุดท้ายในตระกูลที่จะถูกนำออกมาอวดโฉม แต่มันอาจจะเป็นรถรุ่นที่ดีที่สุดในตระกูล VRSC ก็เป็นได้ หลายๆคนที่ได้เห็นเจ้านี่ต่างลงความเห็นว่าเจ้า Night Rod เป็น Rod ที่ดูดีที่สุดในตระกูลตอนนี้ (ปี 2006) ด้วยรูปแบบเครื่องยนต์, ระบบท่อไอเสียแบบใหม่ และรายละเอียดตลอดทั้งคัน สำหรับตำแหน่งพักเท้าที่มีมาให้ถึง 3 ตำแหน่ง ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับนักขี่ได้มากขึ้น เครื่องยนต์ทรงพลังที่มาพร้อมกับระบบเบรคปรับปรุงใหม่ ช่วยเสริมสมรรถนะได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับเจ้ารุ่นพี่อย่าง V-Rod สำหรับราคาของ Night Rod เริ่มต้นที่ 14,995 เหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับน้องใหม่ในตระกูล VRSC คันนี้

 

จุดเด่น
พละกำลังของเครื่องยนต์
รูปลักษณ์สวยที่สุดในตระกูล VRSC
เข้ากับขนาดร่างกายของนักขี่ได้หลากหลาย

ข้อด้อย
มือเบรค-มือคลัชท์ที่ค่อนข้างกว้างสำหรับคนมือเล็ก
ราคาที่ค่อนข้างสูง

สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเป็นอันดับแรก
เบาะนั่งสำหรับการขี่ทางไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีคนนั่งซ้อน

Designation: VRSCD
ราคาขายปลีก : $14,995
สีมาตรฐาน : Black
สีที่ต้องจ่ายพิเศษ : Black Denim, Chopper Blue, Cobalt Blue, Brandywine Sunglo, เพิ่ม $245; Sunglo Blue/Chopper Blue, Black Cherry/Black Pearl, Fire Red/Vivid Black, เพิ่ม $300
ประมาณมาตรฐาน : 24 เดือน, ไม่จำกัดระยะทาง
ระยะทางที่แนะนำให้ต้องตรวจเช็ค : 5000 ไมล์

เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน
รูปแบบ : ระบายความร้อนด้วยน้ำ สูบวี 60 องศา
ระบบวาล์ว : DOHC; 2 ไอดี, 2 ไอเสีย
ขนาดเครื่องยนต์, ขนาดสูบ x ระยะชัก : 1130cc, 100 x 72mm
อัตรากำลังอัด : 11.3:1
ระบบจ่ายน้ำมัน : EFI
ระบบหล่อลื่น : แครงค์น้ำมันเครื่อง, 4.5 qt.
เกรดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นต่ำ : ออกเทน 92
ระบบเกียร์ : คลัชท์เปียก, 5 เกียร์
ระบบขับเคลื่อนท้าย : สายพาน

โครงสร้างรถ
น้ำหนักตัวรถพร้อมน้ำมัน : 626 ปอนด์
GVWR(น้ำหนักที่บรรทุกรวมได้สูงสุด) : 1022 ปอนด์
ความสูงเบาะ : 27.1 นิ้ว
ระยะฐานล้อ : 66.9 นิ้ว
ความยาวรวม : 93.5 นิ้ว
ระย Rake/trail: 34o/4.6 นิ้ว
ล้อ : อัลลอย, ล้อหน้า 19 x 3.0 นิ้ว , ล้อหลัง 18 x 5.5 นิ้ว
ยางหน้า : 120/70ZR-19 Dunlop D207F
ยางหลัง : 180/55ZR-18 Dunlop D407
เบรคหน้า : คู่, แบบ 4 ลูกสูบ , จานขนาด 11.8 นิ้ว
เบรคหลัง : แบบ 4 ลูกสูบ , จานขนาด 11.8 นิ้ว
ระบบกันสะเทือนหน้า : หัวกลับ, ขนาดแกน 43mm, ระยะยุบ 5.0 นิ้ว
ระบบกันสะเทือนหลัง : โช๊คคู่, ระยะยุบ 5.0 นิ้ว, ปรับสปริง Preload ได้
ความจุเชื้อเพลิง : 3.7 แกลลอน

ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์
กำลังในการชาร์จ : 439 วัตต์
แบตเตอรี่ : 12v, 12 AH
ไฟหน้า : 55/65-watt headlight, position lights
ไฟท้าย : ดวงเดียว
อุปกรณ์ติดรถ : เกจวัดความเร็ว, เกจวัดรอบ, เกจบอกระดับเชื้อเพลิง, จอ LCD บอกระยะทาง/จับระยะทางได้ 2 ความจำ/นาฬิกา/ระบบเตือน; ไฟแสดงไฟสูง, ไฟเลี้ยว, เกียร์ว่าง, แรงดันน้ำมันเครื่อง, อุณหภูมิเครื่องยนต์, ไฟเตือนเครื่องยนต์ผิดปกติ, ระบบกันขโมย

สมรรถณะ
อัตราสิ้นเปลือง : 31 ถึง 41 ไมล์ต่อแกลลอน, เฉลี่ย 34.9 ไมล์ต่อแกลลอน
เฉลี่ยระยะทางต่อการเติมเต็มถัง : 129 ไมล์
อัตราเร่งที่เกียร์ 5 ในระดับความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่ระยะทาง 200 หลา ทำความเร็วได้ที่ 83.3 ไมล์ต่อชั่วโมง
อัตราเร่งระยะควอเตอร์ไมล์ทำได้ที่ 112.9 ไมล์ต่อชั่วโมง ในเวลา 11.94 วินาที

Share   Like
Comments