| 
				 
					กินขนมกับกาแฟเรียบร้อย ก็เดินทางกันต่อ 
				
				 
				 
				จุดหมายถัดไปคือเมือง Lienz 
				 
				
				 
				 
				
					เมือง Lienz อยู่ตอนใต้สุดของ Austria ห่างจาก Italy แค่ 25 กิโลเมตร เมืองนี้อากาศจะอุ่นกว่าเมืองทางตอนเหนือครับ 
				
				 
				
					 
					วันที่ไปเดินเที่ยว แดดจัด อากาศอุ่น อุณหภูมิแค่ 22 องศา ต้องใส่แค่เสื้อยืดเดินเล่นครับ 
				
				 
				
					 
					ร้านอาหารบริเวณจัตุรัสกลางเมือง มีฝรั่งมานั่งตากแดด กินดื่ม กันเต็มไปหมด คงคล้าย ๆกั บบ้านเรา ที่เวลาอากาศเย็นก็ออกมานั่งดื่มเบียร์กันเต็มไปหมดครับ 
				
				 
				 
				
					ร้านขายของที่ระลึกเพียบ แต่แปลกตรงที่หา Sim สำหรับ Iphone 4 ไม่ได้เลย ตั้งแต่ Salzburg จนมาถึง Lienz ไม่มีแบบ Prepaid ขายเลยครับ ถ้าใครคิดว่าจะเปิดโทรศัพท์ Roaming แค่รับ Text หรือ BB ตัวอักษรในออสเตรีย คงต้องคิดหนักหน่อยครับ เพราะที่นี่ค่า Data Roaming กับผู้ให้บริการในบ้านเรา แพงมากกกกกก.. ผมเปิดแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ในช่วงที่อยู่ Austria โดนเข้าไปเกือบ 4 พัน 
				
				 
				 
				
					แก๊งค์เด็ก ๆ ปั่นจักรยานมาล้มอยู่ด้านหน้า ตอนแรกนิ่งไปเลย พอทุกคนตกใจลุกขึ้นไปดู ปรากฏว่าลุกขึ้นมาปั่นต่อซะเฉย อย่างนี้เขาเรียกว่าเรียกร้องความสนใจ 
				
				 
				
				 
				 
				
					เดินเล่น นั่งพัก กันพอสมควร ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ รถของลุง Arno คือ K1200LT มีระบบยกขาตั้งคู่อัตโนมัติด้วยนะครับ เหมาะสำหรับผู้สูงวัยจริง ๆ 
				
				 
				 
				
					เห็นพื้นที่จอดรถของ Polizei แล้วนึกถึงพี่เปรียว ตม. ที่เยอรมัน เขาไม่ได้รามือง่าย ๆ นะครับ ไกด์ทัวร์ของเรา รายงานมาว่า ตั้งแต่ โรงแรม Henry ใน Erding จนมาถึงโรงแรมใน Kaprun คุณตำมะหนวดเยอรมัน โทรมาเช็คที่โรงแรมตลอดว่า มีกะเหรี่ยง 3 คน เข้าพักจริงหรือเปล่า คราวนี้พอเดินทางผ่านตำรวจที่ไร ก็จะโดนแหย่ว่า “They are watching you” รู้สึกเหมือนเป็นบุคคลสำคัญเลยแฮะ 
				
				 
				 
				
					ออกจาก Lienz วิ่งขึ้นเหนือสู่ Grossglockner ตอนแรกไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่าเขาจะพาไปดู Glacier กัน ไปก็ไป... 
				
				 
				
					 
					ค่อย ๆ วิ่งผ่าเข้าไปในเขตอุทยานอีกครั้ง 
				
				 
				
				 
				 
				
					แล้วก็ไต่ขึ้นเทือกเขา 
				
				 
				
				 
				 
				
					มาถึงด่านเก็บเงินค่าผ่านทางครับ 
				
				 
				 
				
					ราคาค่าเข้า รถมอเตอร์ไซค์คันละประมาณ 800 บาท มันมีอะไรดีหว่า... 
				
				 
				 
				
					ขึ้นมาจนถึงจุดปิกนิกอาหารเที่ยงของวันนี้ 
				
				 
				 
				
					Marko มาเตรียมอาหารรอไว้เรียบร้อยแล้ว 
				
				 
				 
				
					อาหารแบบฝรั่งเหมือนเดิม แต่วันนี้มีชีสกินแกล้มกับองุ่นเขียวสุดอร่อยเพิ่มมาด้วย อ้วน ๆ ทั้งน้าน.... 
				
				 
				 
				
					หลังจากกินอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงช่วงขี่แบบอิสระขึ้นยอดเขา ระยะทางจากจุดปิกนิกขึ้นไปอีกประมาณ 5 กิโลครับ เลยแวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ 
				
				 
				 
				
					วันถัดไปจะมีการแข่งขันปั่นจักรยานขึ้นภูเขากัน วันนี้เลยมีนักปั่นน่องเหล็กปั่นขึ้นเขาซ้อมกำลังกันเพียบ 
				
				 
				 
				
					ใกล้ถึงยอดเขา เริ่มมีหิมะคลุมตามข้างทาง มองเหนือขึ้นไปด้านบน จะเห็นถนนตัดคดเคี้ยวไปมา อยู่ตรงจุดนั้นแล้วมองขึ้นไปมันยิ่งใหญ่จริง ๆ ครับ 
				
				 
				 
				
					อุโมงค์แบบนี้มีให้เห็นเป็นช่วง ๆ  เอาไว้กันหิมะถล่มด้วยมั้งครับ 
				
				 
				 
				
					และแล้วปลายทางก็มาสิ้นสุดที่ต้นกำเนิดธาร Glacier เทือกเขา Alps และทะเลสาบทั้งหมด เกิดขึ้นมาจากแผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมา ไหลลงไปกดทับพื้นดินด้านล่างในยุค Ice Age ทำให้เกิดหุบเขา และร่องลึกจนเป็นทะเลสาบ ในปัจจุบันครับ 
				
				 
				 
				
					ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้า Black Multi Strada ที่พาขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุดของเทือกเขา Alps ในเขตนี้ ถ้าขี่ HD ขึ้นมา คงหืดขึ้นคอเหมือนกัน เพราะมีแต่โค้งหักศอกเพียบ 
				
				 
				 
				เสื้อหนังแค่ตัวเดียวเอาไม่ค่อยอยู่กับอากาศบนนี้ครับ เหมือนเดินอยู่ในห้องเย็น อุณหภูมิประมาณ 2 องศา ในระหว่างนั้น พี่เปรียวกับพี่จุ๊บก็ไปพบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เช่ารถตู้ขึ้นมาเที่ยวกัน พอพี่ ๆ เขารู้ว่า ขี่มอเตอร์ไซค์กันขึ้นมา ก็ถึงกับงงกันยกใหญ่ คงเห็นแต่พวกฝรั่งเจ้าถึ่นขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว ไม่เคยเห็นคนไทยขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวบ้างมั้งครับ 
				 
				
				 
				 
				เดินเล่น ถ่ายรูปกันพอให้มือสั่น ก่อนกลับโบกมือร่ำลากับกลุ่มพี่ ๆ ชาวไทยที่ขึ้นมาเที่ยว แล้วเราก็ขี่ข้ามมาอีกเทือกเขานึงใกล้ ๆ กันครับ 
				 
				
				 
				 
				ทางฝั่งนี้ยิ่งหนาวมหากาฬขึ้นไปอีก หิมะคลุมหนาเป็นฟุต แถมบางช่วงเริ่มละลายกลายเห็นน้ำเต็มพื้นถนน, ต้อง ขี่กันแบบระมัดระวัง กลัวกลิ้งไปแปะอยู่ในหิมะครับ ตอนนี้เริ่มคิดถึงเสื้อหนาวอีกตัวที่ทิ้งไว้ในกระเป๋า รู้งี้ใส่เผื่อไว้ก่อนดีกว่า 
				 
				
				 
				 
				ถ้ามีแดดก็ยังพอได้ไออุ่นจากแดดมาช่วยบ้าง แต่พอเมฆบังปุ๊ป แถมขี่ผ่าลมหนาว ยิ่งเย็นเข้าไปอีก 
				 
				
				 
				 
				แล้วก็ลุยกันจนมาถึงยอดเขาอีกด้านของ Grossglockner อากาศเย็นจนขนาดเพิ่งฉี่มาจากยอดเขาเมื่อกี้ ก็ยังต้องเข้าห้องน้ำกันอีกรอบ คิดดูว่าแก๊งค์จักรยานที่เห็นเค้าอึดขนาดไหนครับ ทั้งหนาว ทั้งสูง แต่ใส่ชุดกันบางเฉียบ คงร้อนเวลาปั่น แต่หนาวเวลาหยุดมั้ง 
				 
				
				 
				 
				
					แวะพักกันก่อนที่จะมุดอุโมงค์ข้ามไปอีกฝั่ง แปลกมากครับ ทางฝั่งนี้อากาศจะขมุกขมัว หนาวจัด แต่พอมุดไปอีกด้านนึง แดดออก ฝนตก อากาศอุ่นขึ้น ประหลาดดี 
					ี 
				
				 
				 
				Hochtor ยอดเขาที่มีถนนตัดผ่านที่สูงที่สุดในเขตนี้ที่ระดับ 2504 เมตร มีสติ๊กเกอร์เจ้าถิ่นแปะเต็มไปหมด HDP เลยต้องขอแปะบ้าง เพื่อเป็นตัวแทนไบเกอร์ชาวไทยว่าเคยมาเยือนแล้วเหมือนกัน 
				 
				
				 
				 
				ป้ายชี้ไป Grossglockner อีก 16 กิโล จากจุดนี้ เลยแปะ Bangkok Motorbike Festival ไปอีก 1 ใบ 
				 
				
				 
				 
				ขาลงเรากลับอีกด้านของภูเขาครับ มุดอุโมงค์ Hochtor จะมาเจอกับอากาศที่แตกต่างกับอีกฝั่งโดยสิ้นเชิง 
				 
				 
				
				 
				 
				เส้นนี้จัดว่าเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเท่าที่เคยขี่มอเตอร์ไซค์กันมาเลยครับ ถนนเรียบเนียน โค้งหักศอก โค้งวนกลับ โค้งกว้าง โค้งแคบ มีให้ลองทุกแบบ แต่หันไปด้านข้างทางจะเป็นหุบเขาลึกถ้าเล่นโค้งเพลิน พลัดตกลงไป คงจะได้อยู่เฝ้าที่นี่แน่นอนครับ 
				 
				
				 
				 
				มองลงไปด้านล่างจะเห็นถนนตัดเลาะไปตามไหล่เขาครับ คิดว่าบนนี้หิมะคงมีอยู่ตลอดปีแน่ ๆ 
				 
				
				 
				 
				
					พี่จุ๊บทนไม่ไหว ต้องจอดรถแวะถ่ายรูปกันยกใหญ่ 
				
				 
				 
				ลุง Arno ผู้คุมอยู่ท้ายขบวน ก็ไม่ยอมปล่อยให้ 3 กระเหรี่ยงหลุดรอดสายตาไปได้ รอพวกเราถ่ายรูปกันจนพอใจครับ หรือว่าลุงแกเป็นสายสืบของ ตม.เยอรมัน ปลอมตัวมาเป็นไบเกอร์เพื่อมาคุมพวกเราเนี่ย!! 
				 
				
				 
				 
				ตัดภาพมาถึงช่วงตอนลงมาได้ครึ่งทางครับ เนื่องจากมีระยะห่างพอสมควรกับกลุ่มหน้าตอนจอดรถแวะถ่ายรูป ทำให้มีโอกาสเล่นโค้งกันมันจนอดถ่ายรูประหว่างทางเลย มีตัว Wombat วิ่งผ่านหน้าตอนลงเขาด้วยครับ แต่ถ่ายมาไม่ทัน คล้าย ๆ กับถ้าเป็นบ้านเราวิ่งผ่าเขาใหญ่ คงจะได้เห็นลิง เต็มไปหมดครับ 
				 
				
				 
				 
				นึกไม่ออกว่าเหมือนเส้นไหนในบ้านเรา น่าจะคล้าย ๆ กับช่วงแม่สลองหรือดอยอ่างขางมั้งครับ แต่ขนาดใหญ่กว่ากันมาก 
				 
				
				 
				 
				ลงมาถึงด้านล่างอีกฝั่งนึง ก็จะเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางเหมือนกัน 
				 
				
				 
				 
				ถนนกว้างมาก ถ้าเป็นช่วงหน้าท่องเที่ยว รถคงเข้าคิวจ่ายเงินผ่านทางเต็มไปหมดแน่ ๆ 
				 
				
				 
				 
				
					ระหว่างทางขี่กลับเข้า Kaprun จะมีโรงแรมที่เขียนข้อความต้อนรับ ไบเกอร์ เป็นระยะ ๆ ครับ ส่วนโรงแรมนี้ มีรถมอเตอร์ไซค์วางโชว์ด้านหน้าเรียกแขกซะด้วย 
				
				 
				 
				กลับมาถึงโรงแรมใน Kaprun รถแทรกเตอร์โบราณ ยังคงมีจอดกันเป็นกลุ่ม ๆ ครับ 
				 
				
				 
				 
				วันนี้เรามาทานอาหารเย็นกันด้านนอกโรงแรม ระหว่างเดินไปที่ร้าน มีรถ Volk Herbie ให้ชมด้วยนะครับ เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศสำหรับคนที่ชอบกีฬาจริง ๆ ทั้งรถ ทั้งมอเตอร์ไซค์ ทั้งจักรยาน ทั้งสกี มีให้ดูเพียบ 
				 
				
				 
				 
				ลุง Arno กับลุง Mike สองคนนี้รวมกันก็เกือบ ๆ 150 ปีครับ แต่ยังเดินเหินคล่องแคล่ว คนพวกนี้เขารักษาสุขภาพกันดีจริง ๆ  
				 
				
				 
				 
				Hotel Orgler อยู่ใน Kaprun เป็นอีกโรงแรมที่น่ามาพักครับ สวยดี 
				 
				
				 
				 
				เวิ้งโรงแรมใกล้ ๆ กับร้านอาหาร 
				 
				
				 
				 
				
					ร้านอาหารสำหรับมื้อค่ำของพวกเรา ด้านซ้ายมือมีผับอยู่ใต้ดินซะด้วย แต่เสียใจครับ ไม่มีปลาซักตัว มีแต่หมีขั้วโลก ตัวเบ้อเริ่ม 
				
				 
				 
				เริ่มต้นรองท้องด้วย Weiss Bier ท้องถิ่น นุ่มลิ้นจริง ๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบกินเบียร์อย่างผม 
				 
				
				 
				 
				มื้อเย็นของวันนี้ เส้น Macaroni ผัดกับเนื้อหมู Pork Medallion ส่วน Pizza สั่งมาแชร์กันครับ 
				 
				
				 
				 
				เสร็จจากมื้อค่ำ ขากลับเจอชาวอินเดียเดินถือคบเพลิง มองไกล ๆ ตอนแรกนึกว่าจะเจอพวก KKK ซะแล้ว แต่ไหง๋มาเจอแก๊งค์อินเดียใน Austria หว่า 
				 
				
				 
				 
				ปิดท้ายของวันอันแสนประทับใจด้วย Weiss Bier อีกซักแก้ว 
				 
				
			 |